คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1877/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา โดยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์มาด้วย เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคหนึ่ง จึงไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณาศาลชั้นต้นสามารถสั่งยกคำร้องได้ทันทีโดยไม่ต้องไต่สวน และไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 4 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพราะจำเลยที่ 4 มิได้ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และมีคำสั่งต่อไปว่าหากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังติดใจอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ไปฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามนัด ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำสั่งให้ฝ่ายโจทก์ฟังฝ่ายเดียวและถือว่าได้อ่านคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังโดยชอบแล้ว ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนที่กำหนดให้นำค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นด้วย เพราะเป็นคำสั่งต่อเนื่องจากคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ จึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระอีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,842,041.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 40,000 บาท
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์และจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสี่มิได้เป็นคนยากจน ให้ยกคำร้อง หากจำเลยทั้งสี่ประสงค์จะอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายใน 15 วัน จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่ง (ที่ถูกต้องทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง) ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกคำร้อง หากจำเลยทั้งสี่ยังติดใจอุทธรณ์ ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง แต่จำเลยทั้งสี่ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ไปฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพราะยังไม่ได้รับหมายนัด จำเลยทั้งสี่ไม่ทราบว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นก็มิได้มีหมายแจ้งกำหนดวันให้จำเลยทั้งสี่นำเงินดังกล่าวมาชำระ ขอให้ไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสี่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า การขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ผู้ขอจะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคหนึ่ง คดีข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา โดยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์มาด้วย เป็นการไม่ปฏบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คำร้องของจำเลยที่ 4 จึงไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณา ศาลชั้นต้นสามารถสั่งยกคำร้องดังกล่าวได้ทันทีโดยไม่ต้องไต่สวน และไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 4 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพราะจำเลยที่ 4 มิได้ยื่นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ของจำเลยที่ 4 แล้วมีคำสั่งต่อไปว่าหากจำเลยที่ 4 ยังติดใจอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน กำหนด 7 วันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง จึงเป็นการไม่ชอบ ดังนั้น ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 4 ยังไม่ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังกล่าว ขอให้ทำการไต่สวนและมีคำสั่งให้จำเลยที่ 4 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระนั้นย่อมไม่เป็นสาระแก่คดีเพราะไม่ว่าจะวินิจฉัยไปในทางใดจำเลยที่ 4 ก็ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 4
ปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้วหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 วันที่ 30 มิถุนายน 2546 พร้อมกับมีคำสั่งให้ส่งหมายนัดแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ด้วย ในการส่งหมายดังกล่าวปรากฏว่าส่งให้ทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้โดยทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 รับหมายด้วยตนเอง จึงถือว่าทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แต่งตั้งทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้เป็นทนายความแก้ต่าง ทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ย่อมเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในการดำเนินกระบวนพิจารณาการที่ทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้วจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทราบนัดดังกล่าวด้วย กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ทางไปรษณีย์ตอบรับเป็นการส่งที่ชอบหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนด จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่ทราบว่าจะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระในวันใดนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และมีคำสั่งต่อไปว่าหากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังติดใจอุทธรณ์ให้นำค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ไปฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามนัด ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำสั่งให้ฝ่ายโจทก์ฟังฝ่ายเดียวและถือว่าได้อ่านคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังโดยชอบแล้ว กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ทราบคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนที่กำหนดให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระต่อศาลชั้นต้นด้วย เพราะเป็นคำสั่งต่อเนื่องจากคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ซึ่งสั่งในคราวเดียวกันจึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 4 ให้ยก จำเลยที่ 4 ยื่นฎีการวมมากับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่มีค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จะคืนให้.

Share