คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 273/2530

แหล่งที่มา : 11

ย่อสั้น

ภริยาของเจ้ามรดกมิได้ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องขอส่วนแบ่งมรดกมาด้วย จึงไม่ชอบที่ศาลจะพิพากษาให้ได้รับส่วนแบ่ง ควรวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์ทั้งสามได้รับส่วนแบ่งในอัตราส่วนเท่าไรเพื่อสะดวกแก่การบังคับคดีต่อไปเท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกให้โจทก์
จำเลยให้การว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์มรดกเพราะเจ้ามรดกยกให้แล้ว
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายแวว โกพลรัตน์ กับนางกายนต์ โกพลรัตน์มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ นายกลิ่นคำ โกพลรัตน์ สามีของจำเลยที่ 1 และเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9, โจทก์ที่ 2, โจทก์ที่ 1 และนางมยุรา โกพลรัตน์ มารดาของโจทก์ที่ 3 ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว นายแววถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมและทายาทยังไม่ได้แบ่งทรัพย์มรดก ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายแวว แต่นายกลิ่นคำไปขอออก น.ส.3 เป็นของตนคนเดียว โดยทายาทอื่นไม่ทราบ ต่อมานายกลิ่นคำถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2524 โจทก์จึงขอแบ่งมรดกจากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 2 ส่วน เป็นของนายแววและนางกายนต์ โกพลรัตน์ คนละส่วน ส่วนของนายแววเป็นมรดกให้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ตกได้แก่โจทก์ทั้งสามคนละส่วน และจำเลยทั้งหมด 1 ส่วน หากจำเลยทั้งเก้าไม่จัดการแบ่ง ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยทั้งเก้าใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามโดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งเก้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งเก้าใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 600 บาทแทนโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งเก้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่นางกายนต์ โกพลรัตน์ ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า นางกายนต์มิได้ฟ้องขอส่วนแบ่งมาด้วย จึงไม่ชอบที่จะพิพากษาให้นางกายนต์ได้รับส่วนแบ่งด้วย ควรวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์ทั้งสามได้รับส่วนแบ่งในอัตราส่วนเท่าไรเพื่อความสะดวกแก่การบังคับคดีต่อไปเท่านั้น จึงให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 10 ส่วน เป็นกองมรดกของนายแวว 5 ส่วนโจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับคนละ 1 ส่วน ใน 10 ส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งเก้าแบ่งและโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งในสิบส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ’.

Share