คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเขียนกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงินว่าวันที่ 1 กันยายน 2524 จำเลยได้กู้ยืมเงินไปเป็นจำนวน 60,000 บาท กำหนดชำระคืนภายใน 3 เดือน คือวันที่1 ธันวาคม 2524 แล้วลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ แต่มิได้กรอกข้อความในช่องว่างที่ว่าได้ทำหนังสือให้ไว้แก่ผู้ใด ไม่มีลายมือชื่อในช่องผู้ให้กู้ พยานและผู้เขียนสัญญา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง มิได้บังคับว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีข้อความว่ากู้ยืมเงินจากผู้ใด ถ้าได้ความว่าจำเลยทำมอบให้แก่โจทก์ ก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปและทำหลักฐานการกู้ยืมไว้ให้ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือแล้ว

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาตามรูปคดีต่อไป จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ได้ความว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามสำเนาท้ายฟ้อง จำเลยเป็นผู้เขียนกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์เองมีข้อความสำคัญว่า วันที่ 1 กันยายน 2524 จำเลยได้กู้ยืมเงินไปเป็นจำนวน60,000 บาท กำหนดชำระคืนภายใน 3 เดือน คือวันที่ 1 ธันวาคม 2524แล้วจำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ยืมเงิน ส่วนในช่องว่างที่ว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่ผู้ใด มิได้กรอกข้อความลงไว้และในช่องลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมเงิน พยานและผู้เขียนสัญญาก็ไม่มีลายมือชื่อผู้ใดลงไว้ จำเลยฎีกาว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามสำเนาท้ายฟ้องไม่มีข้อความว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากผู้ใดไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อันโจทก์จะนำมาฟ้องร้องบังคับคดีได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653วรรคหนึ่ง มิได้บังคับว่าหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือต้องมีข้อความว่ากู้ยืมเงินจากผู้ใด หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยกรอกข้อความเอง และลงชื่อจำเลยเป็นผู้กู้ แม้มิได้กรอกข้อความในช่องว่างว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่โจทก์ แต่ถ้าได้ความว่าจำเลยทำหนังสือกู้ยืมเงินมอบให้แก่โจทก์ดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปและทำหลักฐานการกู้ยืมไว้ให้ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินนั้นย่อมเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามบทบัญญัติที่กล่าวแล้วส่วนที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ตามลักษณะของสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้อง เห็นได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาทำคำเสนอของจำเลยฝ่ายเดียว โจทก์มิได้สนองรับสัญญากู้ยืมเงินไม่เกิดขึ้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าการทำคำเสนอทำคำสนอง และสัญญากู้ยืมเงินเกิดขึ้นหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบพยานหลักฐานอีกส่วนหนึ่ง หาใช่จะพิจารณาเฉพาะจากหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือเท่านั้นไม่ รูปคดีชอบที่จะให้คู่ความนำสืบพยานหลักฐานต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาตามรูปคดี ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share