คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2724/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสามและจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงพิพาทซึ่งยังไม่ได้ตกลงแบ่งกันเป็นส่วนสัดว่าที่ดินส่วนไหนเป็นของใคร การที่จำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินแปลงพิพาทแต่ผู้เดียวแม้จะได้กั้นรั้วในที่ดินพิพาทแยกครอบครองเป็นส่วนสัด ก็ต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินนั้นแทนเจ้าของรวมคนอื่น หาใช่ครอบครองโดยปรปักษ์ไม่ การแบ่งทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวมเป็นอำนาจของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 จะแบ่งส่วนใดให้เป็นของเจ้าของรวมคนใดโดยไม่ให้ขายทอดตลาดก็ได้ จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยทางด้านทิศใต้ของที่ดินแปลงพิพาทซึ่งอยู่ติดทางสาธารณประโยชน์มาประมาณ 20 ปีแล้ว หากจะให้เอาที่ดินแปลงพิพาทประมูลหรือขายทอดตลาดแล้วเอาเงินแบ่งโจทก์จำเลยตามส่วนจำเลยก็อาจต้องรื้อบ้านออกไปเป็นการเดือดร้อน ศาลย่อมให้จำเลยได้ส่วนแบ่งในที่ดินพิพาททางด้านทิศใต้โดยให้ที่ดินที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับส่วนแบ่งมีทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8810 ตำบลพุทเลา (บ้านแมน) อำเภอบางปะหัน (นครใน) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา โจทก์ทั้งสามและจำเลยได้ครอบครองร่วมกันมาจนถึงปัจจุบันแต่ยังไม่ได้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินเป็นสัดส่วน ต่อมาโจทก์ทั้งสามต้องการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นสัดส่วนแต่จำเลยไม่ยอมให้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงนี้ ทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย จึงขอบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าว ถ้าจำเลยไม่สามารถไปดำเนินการได้ โจทก์ขอถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยด้วย หากการแบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าวไม่เป็นที่ตกลงกัน ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งปันกันตามส่วน
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับโอนที่ดินมาตั้งแต่ พ.ศ. 2505 จำเลยได้ปลูกบ้านและครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกัน20 ปีเศษ มีอาณาเขตที่เป็นสัดส่วนแน่นอน จำเลยยอมแบ่งแยกโดยขอรับตามส่วนที่มีอยู่จริง ซึ่งจำเลยจะต้องได้ที่ดินทางด้านใต้ตามแนวรั้วที่จำเลยครอบครองอยู่ทุกประการขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 8810ตำบลพุทเลา (บ้านแมน) อำเภอบางปะหัน (นครใน) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า)เป็นของโจทก์ที่ 1 เนื้อที่ 1 งาน 10 ตารางวา เป็นของโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางปัดผู้วายชนม์ เนื้อที่ 1 งาน 10 ตารางวา เป็นของโจทก์ที่ 3 เนื้อที่ 3 งาน 30 ตารางวา เป็นของจำเลย 1 งาน 10 ตารางวา ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ถ้าจำเลยไม่ไปจดทะเบียนดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยหากการแบ่งแยกตกลงกันไม่ได้ให้ประมูลราคาระหว่างเจ้าของรวมก่อน หากไม่อาจทำได้ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินแปลงพิพาทนี้ โจทก์ทั้งสามและจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมยังไม่ได้ตกลงแบ่งกันเป็นส่วนสัดว่าที่ดินส่วนไหนเป็นของใครให้เป็นที่แน่นอน การที่จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงพิพาทแต่ผู้เดียวจึงถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินแทนเจ้าของรวมคนอื่นด้วย หาใช่เป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ไม่ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้เข้าไปปลูกบ้านกั้นรั้วในที่ดินพิพาทเป็นการแยกการครอบครองที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยเป็นส่วนสัดต่างจากเจ้าของรวมคนอื่นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่จำเลยอ้างแต่เมื่อโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแปลงพิพาทนี้ด้วย ยังมิได้ตกลงกับจำเลยในการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้เป็นส่วนสัดแล้ว ก็ต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนเจ้าของรวมคนอื่นอยู่ จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสามและจำเลยตามเนื้อที่ที่กำหนดไว้ จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่โดยเหตุที่คดีได้ความว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินแปลงพิพาท ซึ่งอยู่ติดทางสาธารณประโยชน์มาประมาณ 20 ปีแล้วหากจะให้เอาที่ดินแปลงพิพามประมูลหรือขายทอดตลาดแล้วเอาเงินแบ่งโจทก์จำเลยตามส่วนดังที่ศาลอุทธรณ์กำหนดไว้จำเลยก็อาจจะต้องรื้อบ้านออกไปเป็นการเดือนร้อนแต่ถ้าให้จำเลยได้ส่วนแบ่งทางด้านทิศใต้ โดยที่ดินที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับส่วนแบ่งมีทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ได้บ้างก็น่าจะไม่มีผู้ใดได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาจึงเห็นควรให้แบ่งที่ดินแปลงพิพาทในแนวดังกล่าวตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 758/2509 ระหว่าง นายถาวร สุทธิวณิชย์ ผู้เยาว์โดยนายเกษม สุทธิวณิชย์ บิดาผู้ปกครอง โจทก์ เด็กหญิงสุวรรณี แซ่โค้ว กับพวกจำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งในที่ดินแปลงพิพาททางด้านทิศใต้แต่ทั้งนี้ต้องให้ที่ดินที่โจทก์ทั้งสามได้รับมีทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ทางด้านทิศใต้ต่อกับทิศตะวันออก ตามแผนที่พิพาทหมาย จ.ล.1 มีขนาดความกว้างไม่น้อยกว่า6 เมตรด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share