คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อัยการโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยลักทรัพย์หรือรับของโจรขอให้ลงโทษจำเลยและคืนของกลางให้ผู้เสียหาย ศาลล่างวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ถนัดว่าของกลางเป็นของผู้เสียหาย จึงพิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง และไม่สั่งคืนของกลางให้ผู้เสียหาย แต่ให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง ดังนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ดีแก่ผู้เสียหายอยู่แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักกล้วยไม้ของนายสุพจน์ไป รวม 21 กระถางราคา 700 บาท กับกระบวยรดน้ำราคา 15 บาท ต่อมาเจ้าพนักงานจับได้กล้วยไม้ 17 กระถางกับกระบวยรดน้ำที่ถูกลักไปได้จากบ้านจำเลยเป็นของกลาง ทั้งนี้ โดยจำเลยลักไป หรือได้บังอาจรับกล้วยไม้ 17 กระถางกับกระบวยรดน้ำรวมราคา 635 บาท อันได้มาโดยการลักทรัพย์ไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357 คืนของกลางแก่เจ้าทรัพย์ และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 80 บาทแก่เจ้าทรัพย์

จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่าของกลางนี้พระภิกษุทิ้งยกให้จำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ของกลางต่างฝ่ายยังเถียงกรรมสิทธิ์กันอยู่ ให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ในปัญหาเรื่องของกลาง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลล่างพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ถนัดว่าของกลางเป็นของผู้เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญาเป็นเช่นนี้จึงไม่ใช่ลักษณะที่ศาลจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น และในกรณีเช่นนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ห้ามมิให้พิพากษาลงโทษ ศาลล่างจึงพิพากษายกฟ้องและจึงไม่สั่งคืนของกลางให้ผู้เสียหาย แต่ให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง

ที่โจทก์ฎีกาว่า ในคดีหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร แล้วมีปัญหาเถียงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของกลาง ศาลควรจะวินิจฉัยชี้ขาดว่าทรัพย์พิพาทเป็นของฝ่ายใด

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลล่างฟังว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ถนัดว่า ของกลางเป็นของผู้เสียหาย และเมื่อโจทก์แถลงว่าหมดพยานการที่ศาลพิพากษาให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง จึงย่อมเป็นประโยชน์ดีแก่ผู้เสียหายอยู่แล้ว พิพากษายืน

Share