คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2656/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์รับเช็คพิพาทจากช. เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งมีดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วยถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้กระทำความผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมายแม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทก็จะถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องทั้งสองสำนวน
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ ทั้ง สอง สำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2434 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 2 เดือน
จำเลย อุทธรณ์ ทั้ง สอง สำนวน
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา ทั้ง สอง สำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากนายชดในอัตราร้อยละสองต่อเดือนหรือร้อยละยี่สิบสี่ต่อปีเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475มาตรา 3(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 654 ดังนั้น การที่โจทก์รับเช็คพิพาททั้งสองฉบับจากนายชดเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืม ซึ่งมีดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเกินอัตราตามกฎหมาย แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ ก็จะถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และ 28(2)
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share