คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนเรือนั้นมิใช่เป็นข้อสันนิษฐานอย่างเด็ดขาดว่า จำเลยเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว
ดังนั้นในประเด็นที่ว่าใครเป็นเจ้าของเรือยนต์ โจทก์อาจนำสืบถึงพฤติการณ์ต่างๆเช่นว่าการที่จำเลยเพียงบรรลุนิติภาวะยังไม่มีบุตรภรรยาทั้งยังอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดา เหตุไฉนจึงมีหลักทรัพย์มากมายเหลือล้นอย่างนี้ประกอบกับพฤติการณ์อื่นๆ อันส่อให้เห็นว่าบิดามารดาและจำเลยเป็นเจ้าของเรือยนต์ร่วมกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1, 2 เป็นสามีภรรยากันเป็นเจ้าของเรือยนต์ชื่อไทยเจริญสุข จำเลยที่ 3, 4 เป็นลูกจ้างโดยจำเลยที่ 3 เป็นนายท้ายเรือ จำเลยที่ 4 เป็นผู้ควบคุมเครื่อง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2494 โจทก์โดยสารเรือแจวเพื่อนำเงินส่งเจ้าของโรงสีที่บ้านปากพนัง จำเลยที่ 3, 4 ได้ควบคุมเรือยนต์ดังกล่าวไปในแม่น้ำปากพนังด้วยความประมาทเลิ่นเล่อเป็นเหตุให้เรือยนต์ชนเรือแจวที่โจทก์โดยสารมาล่มลงที่ปากแพรก ทำให้ทรัพย์สินโจทก์เสียหายไปรวมราคา 5,200 บาท ทั้งนี้เป็นการละเมิดหน้าที่ที่จำเลยที่ 3, 4 ได้ปฏิบัติการซึ่งเป็นไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1, 2 จำเลยทั้ง 4 จึงต้องรับผิดร่วมกันในผลแห่งการละเมิดที่โจทก์ได้รับความเสียหาย

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเจ้าของและผู้จัดการเรือยนต์ไทยเจริญสุข และจำเลยที่ 3, 4 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยจำเลยไม่ต้องรับผิด

จำเลยที่ 3, 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและนัดพิจารณา

ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องหมายเรียกนายจำรัส อรุณสกุล จำเลยที่ 5 เป็นจำเลยร่วมอีกคนหนึ่งว่าจำเลยที่ 5 เป็นบุตรจำเลยที่ 1, 2 ได้เป็นเจ้าของเรือยนต์ไทยเจริญสุขร่วมกับจำเลยที่ 1, 2 และมีอำนาจใช้สอยและจัดการเช่นกัน จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดร่วมกับจำเลยทั้ง 4 ด้วย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2, 3 และ 5 ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 5,200 บาท ให้โจทก์และดอกเบี้ยอีกร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ จำเลยที่ 4 ไม่มีหน้าที่ควบคุมการเดินเรือจึงไม่ต้องรับผิด

จำเลยที่ 1, 2 และ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1, 2 และ 5 ฎีกา

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้วเห็นว่าปัญหาว่าจำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานโจทก์จำเลยแล้วตามประเด็นที่ว่าใครเป็นเจ้าของเรือยนต์ไทยเจริญสุข นายจำรัสจำเลยที่ 5 อ้างว่าเป็นเจ้าเรือยนต์ลำนี้โดยซื้อจากนายสุทิน เป็นราคาเงินหนึ่งหมื่นบาท และว่าซื้อเรือจากนายสุทินทั้งหมด 5 ลำได้ชำระเงินสดทั้งหมดรวมสองแสนบาทเศษทั้งเป็นเจ้าของโรงสีบางไทรด้วย ยังไม่มีบุตรภรรยาและได้อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1, 2 ผู้เป็นบิดามารดา ไฉนนายจำรัสจะมีหลักทรัพย์มากมายเหลือล้นถึงดังนี้ โดยไม่ปรากฏว่าได้รับมาจากผู้ใด เรือยนต์ลำนี้นายจำรัสจะซื้อมาเมื่อใด จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่รู้เรื่อง แม้แต่โรงสีบางไทรจำเลยที่ 1 ก็ว่าจะเป็นของจำเลยที่ 2 หรือไม่ ๆ ทราบทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1, 2 เป็นสามีภรรยากัน แต่จำเลยที่ 2 ว่าโรงสีบางไทรเป็นของนายจำรัสเอง ย่อมเป็นสิ่งผิดปกติวิสัยที่จำเลยที่ 1, 2 จะปล่อยให้นายจำรัสบุตรของตนจัดการปกครองโดยลำพังอย่างเด็ดขาดนายไพจิตรพยานโจทก์ผู้มีอาชีพค้าขายทางเรือมาเป็นเวลานานและนายเม่งเห้งพ่อค้าปากพนังก็ยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ซื้อเรือยนต์ลำนี้จากนายสุทินเมื่อ 2-3 ปีมาแล้วใช้โยงเรือถ่านจากเตาเผาถ่านของจำเลยที่โรงสีบางไทร บรรทุกข้าวสารจากโรงสีไปส่งที่ตลาดจำเลยที่ 2-5 เป็นผู้ควบคุม นายร้อยตำรวจโทเขษม ผู้รับแจ้งความจากโจทก์ได้สอบถามจำเลยที่ 3,4 ก็บอกว่าเรือเป็นของนางหนูพินจำเลยที่ 2 พฤติการณ์ดังนี้แสดงว่าเรือยนต์ไทยเจริญสุขเป็นของจำเลยที่ 1, 2, 5 ร่วมกัน การที่จำเลยที่ 5 มีชื่ออยู่ในทะเบียนเรือนั้น มิใช่เป็นข้อสันนิษฐานอย่างเด็ดขาดว่าจำเลยที่ 5 เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวโจทก์อาจนำสืบถึงพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วข้างต้นก็ได้ จำเลยที่ 1, 2พยายามปัดความรับผิดในเมื่อตนจะต้องเสีย แต่ยอมรับในเมื่อถึงคราวจะได้ ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงตกไป ฎีกาในข้ออื่นคงฟังตามศาลอุทธรณ์

จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share