คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาการใช้บัตรเครดิตระบุไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารโจทก์อนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใดผู้ถือบัตรทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมในหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตนั้น ซึ่งข้อสัญญาดังกล่าวจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อรับทราบแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมตนเข้าร่วมรับผิดกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในการใช้บัตรเครดิตสมาชิกบัตรหลักด้วยตั้งแต่วันสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ที่แต่ละคนเป็นผู้ก่อขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 297

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 226,500.71 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 22.75 ต่อปี ของต้นเงิน 196,959.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 209,070.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มกราคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ การคำนวณหนี้ให้นำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระในวันที่ 14 มกราคม 2542, 20 มกราคม 2542, 19 กุมภาพันธ์ 2542, 18 มีนาคม 2542, 19 มีนาคม 2542 และ 20 พฤษภาคม 2542 จำนวน 5,600 บาท 5,100 บาท 5,500 บาท 3,843 บาท 1,132 บาท และ 5,100 บาท ตามลำดับ หักออกจากจำนวนหนี้ในวันที่ชำระด้วย โดยให้คิดหักออกจากดอกเบี้ยก่อน เหลือจากนั้นให้คิดหักออกจากต้นเงินกับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีและพิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 2 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ฟ้องใหม่ภายในอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการชำระเงิน 209,070.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 มกราคม 2542 เป็นต้นไปแก่โจทก์ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สมัครบัตรเครดิตโดยเป็นผู้ถือบัตรหลัก จึงต้องรับผิดชอบโดยตรงในการใช้บัตรเครดิตแก่โจทก์ ใบสมัครบัตรเครดิตไม่ระบุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้องนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโจทก์พร้อมกันโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือบัตรหลัก และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือบัตรเสริมและสัญญาการใช้บัตรเครดิตข้อ 5 ระบุไว้ว่า ในกรณีที่ธนาคารโจทก์อนุมัติให้ออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลักรายใดผู้ถือบัตรทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมในหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตนั้น ซึ่งข้อสัญญาดังกล่าวจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อรับทราบแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมตนเข้าร่วมรับผิดกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ในการใช้บัตรเครดิตสมาชิกบัตรหลักด้วยตั้งแต่วันสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ที่แต่ละคนเป็นผู้ก่อขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 298 คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 2 อ้างปรากฏว่าผู้ดำเนินกิจการบัตรเครดิตออกบัตรให้ผู้มาสมัครเป็นสมาชิกเป็นผู้ถือบัตรหลักแล้วต่อมาสมาชิกผู้ถือบัตรหลักจึงขอผู้ดำเนินกิจการให้อีกคนหนึ่งเข้าเป็นสมาชิกและผู้ดำเนินกิจการออกบัตรเสริมให้คนดังกล่าว โดยไม่มีข้อความระบุให้สมาชิกบัตรเสริมตกลงยินยอมเข้าร่วมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกับสมาชิกบัตรหลักแต่อย่างใดข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share