คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2709/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ค้าในการรับทำการงานสิทธิของโจทก์ในการเรียกเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นคือค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศระหว่างวันที่ 12 เมษายน 2528 ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2528 จากจำเลยมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(7) เดิมโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 2 ปี นับแต่ขณะที่อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความแต่การที่จำเลยมีหนังสือตอบหนังสือทวงถามของโจทก์เพื่อให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศภายหลังจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความแล้วโดยในตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความทำนองว่าจำเลยยอมรับผิดชอบชำระค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่โจทก์ทวงถามและยินดีผ่อนชำระให้โจทก์เดือนละ 500 บาท จนกว่าจะหมดนั้นถือได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 192 เดิม แล้ว การที่จำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความมิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 เดิม อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความตามมูลหนี้เดิมขึ้นใหม่ดังนั้นแม้โจทก์จะนำคดีนี้มาฟ้องเมื่อเลยกำหนดเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยมีหนังสือตอบหนังสือทวงถามของโจทก์จำเลยก็หาอาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ไม่ จำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่จึงรวมอยู่ในประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ด้วยและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความโดยได้วินิจฉัยด้วยว่าการที่จำเลยมีหนังสือไปถึงโจทก์ไม่เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่าในระหว่างวันที่ 12 เมษายน 2528 ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2528ได้มีการใช้บริการพูดโทรศัพท์ระหว่างประเทศของโจทก์โดยเรียกออกจากต้นทางเครื่องโทรศัพท์หมายเลข 233-9645 ไปยังปลายทางประเทศต่างๆหลายประเทศรวม 133 ครั้ง คิดเป็นเงินค่าใช้บริการ72,731 บาท จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าเครื่องโทรศัพท์นั้นต้องรับผิดชำระค่าใช้บริการจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 72,731 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยไม่เคยใช้บริการพูดโทรศัพท์จากเครื่องโทรศัพท์ตามฟ้องจากประเทศไทยไปประเทศต่างๆเนื่องจากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจำเลยได้ให้บุคคลอื่นเช่าบ้านเลขที่ 26/3 อันเป็นสถานที่ติดตั้งเครื่องโทรศัพท์นั้นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และโจทก์เป็นผู้ค้าโดยรับทำการงานนำคดีมาฟ้องเรียกค่าใช้บริการซึ่งเป็นสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นเกินกว่ากำหนดเวลา 2 ปีคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7) แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 72,731 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาเป็นข้อแรกว่า หนังสือเอกสารหมาย จ.13 ที่จำเลยมีไปถึงโจทก์ไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงว่าจำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามที่โจทก์ทวงถามแต่เป็นเพียงหนังสือที่จำเลยต่อว่าโจทก์ถึงข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานของพนักงานของโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ค้าในการรับทำการงานสิทธิของโจทก์ในการเรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้นคือค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศระหว่างวันที่ 12 เมษายน 2528 ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2528 จากจำเลยมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 (7) เดิม โจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องนั้นภายใน 2 ปี นับแต่ขณะที่อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวของโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว แต่ศาลฎีกาได้พิเคราะห์หนังสือเอกสารหมาย จ.13 ที่จำเลยมีถึงโจทก์ตอบเอกสารหมาย จ.11 ที่โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ภายหลังจากสิทธิเรียกร้องดังกล่าวของโจทก์ได้ขาดอายุความแล้ว ปรากฏว่าแม้ข้อความในหนังสือเอกสารหมาย จ.13 ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่จำเลยต่อว่าโจทก์ถึงข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานของพนักงานของโจทก์และแจ้งให้โจทก์แก้ไขปรับปรุงการทำงานของพนักงานของโจทก์ แต่ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวก็มีข้อความในทำนองว่าจำเลยยอมรับผิดชอบชำระค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่โจทก์ทวงถามและยินดีผ่อนชำระให้โจทก์เดือนละ 500 บาท จนกว่าจะหมดการที่จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.13 ถึงโจทก์เช่นนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 เดิม แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่า การละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความมีผลเพียงว่าอายุความที่ล่วงพ้นไปแล้วเป็นอันระงับลงและต้องเริ่มนับอายุความต่อไปใหม่เสมือนไม่เคยมีการนับอายุความมาก่อนโดยกำหนดอายุความที่เริ่มนับใหม่ต้องถือตามอายุความแห่งมูลหนี้เดิมแม้การที่จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.13 เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อเลยกำหนดเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยมีหนังสือนั้นไปถึงโจทก์แล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้นศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นมิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เดิม อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความตามมูลหนี้เดิมขึ้นใหม่ ดังนั้น แม้โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อเลยกำหนดเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.13 ถึงโจทก์แล้วจำเลยก็หาอาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ไม่ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยเป็นข้อสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ไม่ได้ยกประเด็นว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์อายุความขึ้นกล่าวอ้างในศาลชั้นต้นแต่ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่นั้น ในปัญหานี้เห็นว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความซึ่งปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่รวมอยู่ในประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ด้วย และศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความโดยได้วินิจฉัยด้วยว่าการที่จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.13 ไปถึงโจทก์ไม่เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าการที่จำเลยทำหนังสือเอกสารหมาย จ.13 เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ กรณีไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นแต่ประการใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share