แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะเอาประกันความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นแก่รถที่เช่าซื้อมากับบริษัทประกันภัยได้ และอยู่ในฐานะผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ทำละเมิดได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.จ.4977 จากบริษัทเครดิตการพาณิชย์ (ประเทศไทย) จำกัด และได้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์นั้นตลอดมา โจทก์ที่ 2 เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์รับประกันภัย จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้ชนเสาไฟฟ้าที่เกาะกลางถนน แล้วเลยไปชนรถบรรทุกแล้วเสียหลักพุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์ที่โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อมา เสียหายเป็นเงิน 23,695 บาท และทำให้รถเสื่อมราคาไป10,000 บาท โจทก์ต้องเช่ารถอื่นใช้เป็นเวลา 75 วัน ๆ ละ 120 บาทเป็นเงิน9,000 บาท เนื่องจากโจทก์ที่ 1 ได้เอารถคันนี้ประกันภัยไว้กับโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 ได้ชำระเงินค่าซ่อมแซมรถให้แก่เจ้าของรถตามสัญญาประกันภัยแล้ว 23,695 บาท โจทก์ที่ 2 จึงอยู่ในฐานะรับช่วงสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกคืนจากจำเลยทั้งสองได้ รวมกับค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระให้โจทก์ที่ 1 เป็นค่าเสื่อมราคาและค่าเช่ารถอื่นใช้ด้วย เป็นเงิน 19,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองต้องชำระให้โจทก์ทั้งสอง 42,695 บาท ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายตามฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถคันที่ถูกชนไม่มีสิทธิฟ้อง โจทก์ที่ 1 จะได้ทำสัญญาประกันภัยไว้กับโจทก์ที่ 2 หรือไม่ ไม่รับรองเหตุที่เกิดเนื่องจากรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับได้เกิดอุบัติเหตุน็อตเพลากลางขาด ทำให้รถเสียหลักจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 2 ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 และให้การว่าจำเลยที่ 1ไม่ใช่ลูกจ้าง และไม่ได้ทำการในทางการที่จ้าง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิทำสัญญาประกันภัยและมีอำนาจฟ้องความเสียหายของโจทก์เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างและขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 3,600 บาท แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 21,325 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ในปัญหาที่ว่าโจทก์ที่ 1 มีสิทธิเอารถนั้นไปประกันภัยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้เช่าซื้อมีสิทธิที่จะยึดถือและใช้ประโยชน์ ตลอดจนต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดอันเกิดขึ้นแก่รถที่เช่าซื้อมา และเมื่อได้ใช้เงินให้ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ที่ 1 หรือหากเลิกสัญญาเช่าซื้อกัน โจทก์ที่ 1 ก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนผู้ให้เช่าซื้อในสภาพเดิม โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิที่จะเอาประกันความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นแก่รถที่เช่าซื้อมากับบริษัทประกันภัยได้ และโจทก์ที่ 1 อยู่ในฐานะผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ทำละเมิดได้ด้วย ส่วนในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้าง และขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้รถโจทก์ที่ 1 เสียหาย และค่าสินไหมทดแทนที่ศาลล่างกำหนดให้นั้นเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน