คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2704/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ และเป็นผู้รับประโยชน์ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารในต่างประเทศเป็นผู้เปิดตามคำขอของผู้ซื้อ ส่วนโจทก์เป็นธนาคารในประเทศผู้แจ้งการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยทราบ การที่โจทก์ไม่เพียงทำหน้าที่ดังกล่าว แต่โจทก์ยังรับเอกสารประกอบการส่งสินค้าจากจำเลยไว้ตรวจสอบรวมทั้งรับตั๋วแลกเงินที่จำเลยสั่งจ่ายตามเลตเตอร์ออฟเครดิตไว้แล้วรวบรวมส่งไปยังธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต แม้ขณะโจทก์รับตั๋วแลกเงินไว้จากจำเลย จำเลยจะทำสัญญาซื้อขายเงินตราตามตั๋วแลกเงินล่วงหน้าไว้ แต่สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อตกลงหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระราคาทั้งโจทก์ไม่ได้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้แก่จำเลยทันที โจทก์กลับรอให้ตั๋วแลกเงินถึงกำหนดชำระและโจทก์ได้รับแจ้งจากธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตว่า ธนาคารดังกล่าวส่งเงินตามตั๋วแลกเงินเข้าบัญชีของโจทก์แล้ว โจทก์จึงจ่ายเงินให้แก่จำเลย กรณีจึงไม่เป็นการซื้อขายตั๋วแลกเงินดังโจทก์อ้างการกระทำของโจทก์เข้าลักษณะเป็นตัวแทนธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตในต่างประเทศ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ในวงเงิน 10,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14.5 ต่อปี ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามประเพณีของธนาคารโดยใช้บัญชีเงินฝากกระแสรายวันเป็นบัญชีเดินสะพัดเรื่อยมา เมื่อวันที่ 3มกราคม 2529 จำเลยนำตั๋วแลกเงินจำนวนเงิน 17,250 เหรียญสหรัฐเทียบเท่าเงินไทย 472,650 บาท ออกภายใต้เลตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 8557 แห่งธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลแบงค์ฟอร์อินเวสท์เมนท์แอนด์คอมเมิร์ซ จำกัด มาตกลงทำสัญญาซื้อเงินตราล่วงหน้ากับโจทก์โจทก์นำเงินตามตั๋วแลกเงินเข้าบัญชีเดินสะพัดของจำเลย โดยหักค่าไปรษณีย์และค่าแสตมป์ 150 บาท คงนำเงินเข้าบัญชีเดินสะพัดของจำเลย 472,500 บาท เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 จำเลยเบิกเงิน 470,000บาทออกจากบัญชี ต่อมาตั๋วแลกเงินเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์ขอคืนเงิน แต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยให้สัญญาเลิกกันในวันที่ 25 กันยายน 2529 และให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดคืนโจทก์ ในวันดังกล่าว จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 472,282.84 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 472,282.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ14.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยขายสินค้าให้ผู้ซื้อในต่างประเทศซึ่งตกลงชำระค่าสินค้าโดยให้ธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลแบงค์ฟอร์อินเวสเม้นท์แอนด์คอมเมิร์ซ จำกัด เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตหมายเลข8557 ชนิดเพิกถอนไม่ได้ระบุจำเลยเป็นผู้รับประโยชน์โดยจำเลยจะต้องออกตั๋วแลกเงินสั่งให้ผู้ซื้อจ่ายเงินภายใน 180 วันนับแต่วันที่สินค้าลงเรือ โจทก์เป็นตัวแทนของธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ มีหน้าที่แจ้งการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต และตรวจสอบเอกสารการส่งสินค้าและจ่ายเงินให้จำเลยหรือซื้อตั๋วแลกเงินที่จำเลยสั่งจ่ายเมื่อจำเลยได้ปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในเลตเตอร์ออฟเครดิตแล้วตั๋วแลกเงินตามฟ้อง จำเลยออกให้โจทก์และโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยตามเลตเตอร์ออฟเครดิตในฐานะที่โจทก์เป็นตัวแทนของธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ จำเลยไม่ได้ขายลดตั๋วแลกเงินหรือทำสัญญาซื้อเงินตราล่วงหน้ากับโจทก์ จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์ การดำเนินการของโจทก์เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯและเป็นไปตามระเบียบประเพณีการค้าระหว่างประเทศ และตามธรรมเนียมการปฏิบัติของธนาคารพาณิชย์เกี่ยวกับการชำระเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตในทางการค้าระหว่างประเทศ โจทก์มีสิทธิเรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งมีหน้าที่ชำระเงินหรือใช้เงินคืนให้โจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธิเรียกคืนจากจำเลย ทั้งดอกเบี้ยก็ไม่เกินอัตราร้อยละ 8.75 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 472,650 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นลูกค้าของโจทก์โดยการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 10,000,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ไว้กับโจทก์ คดีต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หรือไม่ ทางพิจารณาโจทก์จำเลยนำสืบฟังได้รับกันว่า จำเลยขายสินค้าให้ผู้ซื้อในต่างประเทศคือบริษัทซีบิคอิ๊งค์ จำกัด ในการนี้ผู้ซื้อตกลงชำระเงินค่าสินค้าโดยวิธีเลตเตอร์ออฟเครดิตโดยติดต่อธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ซึ่งธนาคารดังกล่าวก็ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตามเอกสารหมาย ล.8 ให้แต่โดยที่ธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ไม่มีสาขาตัวแทนในประเทศไทยจึงได้แจ้งการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคารยูไนเต็ดฯ ซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศสหรัฐอเมริกาของตนมายังโจทก์เพื่อแจ้งให้จำเลยทราบซึ่งโจทก์ก็ได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว เอกสารหมาย ล.8 เป็นเลตเตอร์ออฟเครดิตชนิดเพิกถอนไม่ได้และไม่ยืนยันซึ่งมีการแก้ไขตามเอกสารหมาย ล.10 และ ล.12 หลังจากรับแจ้ง จำเลยก็ได้ส่งสินค้าไปให้ผู้ซื้อโดยจัดทำเอกสารตามเลตเตอร์ออฟเครดิตให้โจทก์เป็นผู้ตรวจสอบพร้อมทั้งออกตั๋วแลกเงินกำหนดระยะเวลาชำระเงินภายใน 180 วันนับแต่วันที่ระบุในใบตราส่งมอบให้โจทก์ด้วยรวมทั้งเอกสารหมาย จ.5 เมื่อโจทก์ได้ตรวจสอบเอกสารถูกต้องครบถ้วนตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแล้วก็ได้ส่งเอกสารพร้อมตั๋วแลกเงินผ่านไปยังธนาคารยูไนเต็ดฯ เพื่อส่งต่อให้ธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ต่อมาเมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามตั๋วแลกเงิน ธนาคารฟิลาเดลเฟียฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งโจทก์มีบัญชีเงินฝากได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ได้ส่งเงินจำนวนตามตั๋วแลกเงินให้โจทก์แล้วตามเอกสารหมาย จ.7 โจทก์จึงได้นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยโดยหักเงินค่าไปรษณีย์และค่าแสตมป์ 150 บาทออกแล้ว ครั้นโจทก์ทราบภายหลังว่าตั๋วแลกเงินเรียกเก็บเงินไม่ได้จึงได้ทวงถาม เห็นว่าตั๋วแลกเงินจำเลยออกภายใต้เลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ เปิดให้จำเลยในการขายสินค้าให้ผู้ซื้อในต่างประเทศตามคำขอของผู้ซื้อซึ่งธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ มีภาระผูกพันในการที่จะต้องจ่ายเงินค่าสินค้าให้แก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขาย เพราะเลตเตอร์ออฟเครดิตเป็นประเภทเพิกถอนไม่ได้ แม้จะปรากฏว่าธนาคารยูไนเต็ดฯ ซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศสหรัฐอเมริกาของธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ จะเป็นผู้ขอให้โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบถึงเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวและเป็นเลตเตอร์ออฟเครดิตชนิดไม่ยืนยันอันโจทก์ไม่จำต้องรับผิดชอบในการชำระราคา โจทก์เพียงแจ้งให้จำเลยทราบเท่านั้นตามเอกสารหมาย ล.9และ ล.13 ก็ตาม แต่การขายสินค้าให้ผู้ซื้อในต่างประเทศ ผู้ขายต้องมีหลักประกันที่จะได้รับชำระค่าสินค้าซึ่งในการนี้ผู้ซื้อจะต้องขอให้ธนาคารในประเทศของตนเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้ และธนาคารดังกล่าวต้องมีสาขาในประเทศไทยหรือสามารถติดต่อให้สาขาธนาคารอื่นเป็นตัวแทนเพื่อดำเนินการแจ้งการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้ผู้ขายทราบได้และทำหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร และการชำระเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแทนด้วย คดีนี้ก็เช่นเดียวกัน ธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตได้ให้ธนาคารยูไนเต็ดฯ ตัวแทนในประเทศของตนเป็นผู้แจ้งมายังโจทก์เพื่อขอให้โจทก์แจ้งเลตเตอร์ออฟเครดิตให้จำเลยทราบซึ่งโจทก์ก็ได้ดำเนินการให้รวมทั้งรับเป็นผู้ตรวจสอบเอกสารและรับตั๋วแลกเงินซึ่งผู้ขายได้ออกภายใต้เลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวด้วยหลังจากนั้นจึงได้รวบรวมส่งไปให้ธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นตัวแทนของธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ดังจะเห็นได้ว่าต่อมาเมื่อโจทก์ได้รับแจ้งว่าธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้โจทก์แล้ว โจทก์ก็นำเงินนั้นมาจ่ายให้จำเลยโดยหักค่าใช้จ่ายค่าไปรษณีย์และแสตมป์ซึ่งโจทก์ได้เสียไปในการส่งเอกสารและตั๋วแลกเงินออกก่อนด้วย ตั๋วแลกเงินที่จำเลยออกให้โจทก์เป็นการออกเกี่ยวกับการชำระค่าสินค้าภายใต้เลตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ เป็นผู้เปิด แม้ตามเอกสารหมาย จ.5 จะระบุว่าเป็นการซื้อขายเงินตราล่วงหน้า แต่ตามพฤติการณ์ซึ่งโจทก์จำเลยและธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ปฏิบัติต่อกันดังกล่าวข้างต้นไม่เป็นการซื้อขายตั๋วแลกเงินเพราะตั๋วแลกเงินมีกำหนดเวลาชำระเงิน 180 วันนับแต่วันที่ระบุไว้ในใบตราส่ง ถ้าโจทก์ได้รับซื้อไว้จริงก็ไม่น่าจะต้องรอให้ตั๋วแลกเงินถึงกำหนดและธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ชำระเงินให้โจทก์ตามตั๋วแลกเงินนั้นก่อนโจทก์ถึงจะชำระราคาให้จำเลยในภายหลัง ตามที่ปรากฏจากคำเบิกความของนางสาวสุธรรณีและนายจิระศักดิ์พยานโจทก์ ประกอบเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 การที่ธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ชำระเงินให้โจทก์ และโจทก์นำมาชำระให้จำเลยโดยหักค่าใช้จ่ายดังกล่าว จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นการที่โจทก์กระทำแทนธนาคารอินเตอร์เนชั่นแนลฯ ทั้งทางนำสืบของโจทก์และข้อความตามเอกสารหมาย จ.5 ก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระราคาด้วย ข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.5 น่าจะเป็นการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรากันไว้ล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยงของจำเลยตามคำเบิกความของนายปวิชและนางสุวรรณาพยานจำเลย หาใช่เป็นการซื้อขายเงินตราล่วงหน้าตามฟ้องไม่ โจทก์นำสืบมาเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการชำระเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่คำฟ้องมิได้มีสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับเกี่ยวกับการชำระหนี้ดังกล่าวเลย จึงไม่จำต้องพิจารณาถึงระเบียบประเพณีปฏิบัติเกี่ยวกับเลตเตอร์ออฟเครดิตของสภาหอการค้านานาชาติและมติของคณะกรรมาธิการของสภาดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.18 และ จ.19 คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยขายตั๋วแลกเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกราคาที่อ้างว่าได้ชำระให้จำเลยไปแล้วคืนได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share