คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2696/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ทำความผิด เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประเภทต่าง ๆ ได้ โจทก์ได้ยื่นใบขอรับเงินเมื่อออกจากงานเรียกร้องเอาเฉพาะค่าชดเชย เงินเดือนค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินโบนัสและเงินบำเหน็จมิได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมโดยระบุข้อความตอนท้ายว่าไม่ติดใจที่จะเรียกร้องเงิน สิทธิและประโยชน์อื่นใดจากจำเลยอีก ข้อความในเอกสารที่โจทก์ลงลายมือชื่อให้ไว้แก่จำเลยดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้สละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินประเภทอื่นอันจะพึงได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับของจำเลย รวมทั้งสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหาย เนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายส่วนนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด นอกจากนี้จำเลยได้ให้โจทก์ทำงานล่วงเวลาระหว่างเดือนมกราคม 2529 ถึงเดือนตุลาคม 2529 รวม 205 วัน วันละ2 ชั่วโมง เป็นเวลา 410 ชั่วโมง จำเลยต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่โจทก์เป็นเงิน 9,471 บาท แต่จำเลยไม่จ่ายให้โจทก์ และจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเท่าเงินเดือนสุดท้ายเป็นเวลา 2 ปี เป็นเงิน 88,000 บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายและค่าล่วงเวลาพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยสั่งให้โจทก์ทำงานล่วงเวลา จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ซึ่งจำเลยเคยตักเตือนหลายครั้งแล้ว และตอนที่เลิกจ้างโจทก์ได้ทำความตกลงเป็นหนังสือกับจำเลยว่าไม่ติดใจเรียกร้องสิทธิและประโยชน์อื่นใดอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเป็นเงิน 18,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ทำข้อตกลงกับจำเลยตามใบขอรับเงินเมื่อออกจากงานเอกสารหมายล.9 ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเอาเงินหรือประโยชน์อื่นใดจากจำเลยนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 ซึ่งทำให้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายของโจทก์ระงับสิ้นไปตามมาตรา 852 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม2524 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำตำแหน่งพนักงานแม่บ้าน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 3,700 บาท ต่อมาวันที่30 ตุลาคม 2529 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ทำความผิดและตอนที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้น โจทก์ได้ยื่นใบขอรับเงินเมื่อออกจากงานต่อจำเลยเพื่อขอรับเงินประเภทต่าง ๆ ปรากฏตามเอกสารหมายล.9 จำเลยได้จ่ายเงินประเภทต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ทำความผิด เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาเงินประเภทต่าง ๆ โดยโจทก์ได้ยื่นใบขอรับเงินเมื่อออกจากงานตามเอกสารหมาย ล.9 เรียกร้องเอาเฉพาะค่าชดเชย เงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเงินโบนัสและเงินบำเหน็จ มิได้เรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยระบุข้อความตอนท้ายว่า “…..ข้าพเจ้าไม่ติดใจที่จะเรียกร้องเงิน สิทธิและประโยชน์อื่นใดจากบริษัทไฟฟ้าฟิลิปส์แห่งประเทศไทย จำกัด และ/หรือผู้แทนของบริษัทฯอีกทั้งสิ้น…..” ข้อความในเอกสารที่โจทก์ลงลายมือชื่อให้ไว้แก่จำเลยดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้สละสิทธิที่จะเรียกร้องเงินประเภทอื่นอันจะพึงได้รับตามกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับของจำเลย รวมทั้งสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หนังสือขอสละสิทธิของโจทก์ทำขึ้นหลังจากที่โจทก์พ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีอิสระแก่ตน พ้นพันธกรณีและอำนาจบังคับบัญชาจากจำเลยเป็นการทำโดยสมัครใจของโจทก์การสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายมีผลใช้บังคับ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวจากจำเลยอีก ทั้งนี้ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1353/2531 ระหว่าง นายสำเริง บุญแจ่ม โจทก์ บริษัทไฟฟ้าฟิลิปส์แห่งประเทศไทย จำกัด จำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share