คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2695/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ที่บัญญัติให้ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้อีกกึ่งหนึ่งนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะพาทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดหลบหนีไป หรือใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมหลังจากได้กระทำผิด เป็นเพียงบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษหนักขึ้นเท่านั้น ส่วนปัญหาที่ว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลพึงสั่งริบตามมาตรา 33(1) นั้น ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์ของการกระทำผิดเป็นเรื่อง ๆ ไปว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำผิดหรือไม่
จำเลยทั้งสองใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะพาสร้อยคอทองคำหลบหนีไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ภายหลังจากจำเลยได้ทำการชิงทรัพย์สำเร็จแล้ว จำเลยทั้งสองมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดชิงสร้อยคอทองคำของผู้เสียหาย รถจักรยานยนต์จึงมิใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามมาตรา 33 (1)
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2615/2518)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของผู้เสียหายโดยใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญ เมื่อได้ทรัพย์ดังกล่าวแล้ว จำเลยได้ร่วมกันขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนีไป เป็นการใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดพาทรัพย์ไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง รถจักรยานยนต์ของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดจึงไม่ริบ
โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรี ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๕ ที่บัญญัติให้ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้อีกกึ่งหนึ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะกระทำผิดก็อาจได้รับโทษหนักขึ้นถ้าหากปรากฏว่าผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะพาทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดหลบหนีไป หรือใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมหลังจากได้กระทำผิดแล้วก็ต้องได้รับโทษหนักขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นบทบัญญัติมาตรา ๓๔๐ ตรีจึงเป็นเพียงบทบัญญัติถึงเหตุที่จะทำให้ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษหนักขึ้นเท่านั้น หาได้บัญญัติให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดด้วยไม่ ฉะนั้น ปัญหาที่ว่ายานพาหนะใดเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดซึ่งศาลพึงสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓(๑) นั้น ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์ของการกระทำผิดเป็นเรื่อง ๆ ไปว่า ผู้กระทำผิดได้ใช้ยานพาหนะนั้นในการกระทำความผิดหรือไม่ สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นพาหนะพาสร้อยคอทองคำของกลางหลบหนีไปจำเลยทั้งสองมิได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นพาหนะในการกระทำผิดชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของผู้เสียหายแต่อย่างใดรถจักรยานยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓(๑) ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่๒๖๑๕/๒๕๑๘ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาส โจทก์ นายลาฮูดิงมามุ จำเลย
พิพากษายืน

Share