คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2693/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริต เมื่อโจทก์เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แต่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาย่อมไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง นิติกรรมจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองได้เต็มสัญญา ผู้ร้องจะขอกันส่วนของตนจากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินจากการบังคับจำนองหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ 3,957,059.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 3,313,334.55 บาท และอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของต้นเงิน 54,400 บาท นับแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งคืน และค่าทนายความ 37,800 บาท โดยจำเลยทั้งสองตกลงร่วมกันผ่อนชำระเดือนละไม่น้อยกว่า 600,000 บาท ทุกวันที่ 18 ของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2541 ทั้งนี้จะชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันทำสัญญา หากไม่ชำระงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์เลย โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่จำนอง 1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 24 ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ตีราคา 3,700,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้กันเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้อง 1 ใน 3 ส่วน
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ในศาลชั้นต้น 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองรายนี้หรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่าผู้ร้องมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์จำนอง 1 ใน 3 ส่วน โดยได้รับตกทอดทางมรดก แต่ปรากฏว่าผู้ร้องไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท คงมีแต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทโดยการโอนทางมรดกแต่เพียงผู้เดียว ข้อที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ร้อง การครอบครองที่ดินพิพาทเป็นการครอบครองแทนผู้ร้องและทายาทอื่นก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกรู้เห็นด้วย ทั้งคำร้องก็มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ที่ว่า “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต” ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริต ในเมื่อโจทก์ได้เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แต่ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาย่อมไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง นิติกรรมจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองได้เต็มตามสัญญา ผู้ร้องจะขอกันส่วนของตนจากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินจากการบังคับจำนองหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่น ๆ ของผู้ร้องอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปได้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share