คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2691/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันทำละเมิดโดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ร่วมทุจริตกับจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหาย ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมทุจริตกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเกินเลยไปว่าจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ทำงานอยู่กับโจทก์ในหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการและสมุหบัญชีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นหน่วยงานของโจทก์ จำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคลและเป็นายจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการ จำเลยที่ 3 ทำหน้าที่ผู้จัดการธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาจังหวัดภูเก็ต จำเลยที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2517จำเลยที่ 1 ได้ทำการทุจริตต่อโจทก์โดยลอบไปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารเอเชียทรัสต์ จำกัด สาขาจังหวัดภูเก็ต ในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดภูเก็ต โดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้ร่วมมือกับการทุจริตของจำเลยที่ 1 ด้วย โดยยอมให้จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีดังกล่าวทั้งที่มิได้มีหนังสือให้ความยินยอมจากโจทก์ และยอมให้จำเลยที่ 1 เซ็นชื่อสั่งจ่ายถอนเงินฝากในบัญชีดังกล่าวได้โดยลำพังตนเอง จำเลยที่ 3 ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการที่ยอมให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 เปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวได้เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถอนเงินของโจทก์ไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นเงิน578,996.15 บาท การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 4 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องรับผิดร่วมด้วย ขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 578,996.15บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันโจทก์ทราบความละเมิดจนถึงวันฟ้อง 36,187 บาท และดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวของต้นเงิน 578,996.15บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันว่าได้เปิดบัญชีให้โดยสุจริต มิได้ประมาทเลินเล่อและมิได้ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 ทำการทุจริตคดีโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ทุจริตนำเงินของโจทก์ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 578,996.15 บาท ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมมือทุจริตกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่การที่จำเลยที่ 2 รับเปิดบัญชีเมื่อจำเลยที่ 1 มาขอเปิดบัญชีในนามของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดภูเก็ตโดยมิได้ตรวจสอบหลักฐานให้แน่ชัดเสียก่อนว่าจำเลยที่ 1 มีอำนาจทำได้หรือไม่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 2 ที่ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดและจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 การทำละเมิดในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 4ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 ฟังไม่ได้ว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ต้องรับผิด คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ และถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 615,183.15 บาท พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 578,996.15 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3

จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมทุจริตกับจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปอีกว่า เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2ทำให้โจทก์ต้องเสียหายนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหาย คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 4 ด้วย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยการร่วมมือกับจำเลยที่ 1 กระทำการทุจริตเอาเงินของโจทก์ไป ประเด็นจึงมีว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 กระทำการทุจริตจริงหรือไม่ เมื่อตามข้อเท็จจริงจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมมือกับจำเลยที่ 1 กระทำการทุจริตต่อโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเกินเลยไปว่า จำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการละเมิดต่อโจทก์ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2และที่ 4 ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share