แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้กล่าวถึงเรื่องดอกเบี้ยไว้สองข้อคือ ข้อ 2. ว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือนนับแต่วันทำสัญญานี้เป็นต้นไป และข้อ 5. ว่าถ้าหากผิดสัญญาชำระดอกเบี้ยผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ด้วย ดังนี้ ข้อสัญญาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 เฉพาะการคิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญากู้ข้อ 5 เท่านั้น แต่การคิดดอกเบี้ยตามข้อ 2 ไม่เป็นโมฆะ เพราะเป็นการคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
แม้มาตรา 166 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติให้เรียกดอกเบี้ยค้างส่งได้ภายในกำหนดห้าปี แต่ปรากฏว่าในคำให้การของจำเลยมิได้ยกเรื่องอายุความขึ้นสู้ไว้ ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทกไป ๑๗,๐๐๐ บาท ยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือน หรือร้อยละ ๑๕ ต่อปี ถ้าหากจำเลยผิดนัดผิดสัญญาชำระดอกเบี้ย จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยที่ค้างทบต้นได้อีกด้วย ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้อง ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมชำระ จำเลยคงค้างต้นเงินและดอกเบี้ยคิดทบต้นจากวันกู้ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๙ จำนวน ๕๘,๖๕๑.๘๖ บาท รวมเป็นเงิน ๗๕,๖๕๑.๘๖ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๗๕,๖๕๑,.๘๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยยืมเงินใดๆ จากโจทก์เลย สัญญากู้ไม่เป็นความจริงและไม่ใช่ลายมือของจำเลย ทั้งสัญญากู้ทั้งข้อ ๕. ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ก็เป็นโมฆะโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอต่อสู้เพียงข้อเดียวว่าข้อความในสัญญากู้ข้อ ๕. ที่ว่าผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เป็นโมฆะเพราะขัดต่อกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้ ทนายโจทก์และทนายจำเลยแถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงิน ๑๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๐๙ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยกู้ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจากต้นเงิน ๑๗,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๑๑ จนถึงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ คิดเป็นเงิน ๒๒,๑๐๐ บาทแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๗,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญากู้ท้ายฟ้องกล่าวถึงเรื่องดอกเบี้ยไว้ ๒ ข้อ คือในข้อ ๒. และข้อ ๕. ความในข้อ ๒. มีว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือน นับแต่วันทำสัญญานี้เป็นต้นไป และยอมชำระดอกเบี้ยภายในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๑๐ และความในข้อ ๕ มีว่าถ้าหากผิดสัญญาชำระดอกเบี้ยผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ด้วย ดังนี้ เห็นได้ว่าข้อสัญญาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๕ เฉพาะการคิดดอกเบี้ยทบต้นตามสัญญากู้ข้อ ๕ เท่านั้น แต่การคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้ข้อ ๒ หาต้องห้ามหรือเป็นโมฆะไม่ เพราะเป็นการคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เพราะก่อนที่จะผ่านไปถึงการคิดดอกเบี้ยทบต้นตามข้อ ๕. จำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยตามสัญญากู้ข้อ ๒. ก่อน จึงถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกดอกเบี้ยตามสัญญากู้ข้อ ๒ ด้วย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอย่างธรรมดาตามสัญญากู้ข้อ ๒ ได้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์จะเรียกดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกินกว่าห้าปีไม่ได้ เพระขัดต่อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้มาตรา ๑๖๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติให้เรียกดอกเบี้ยค้างส่งได้ภายในกำหนดห้าปีแต่ปรากฏว่าในคำให้การของจำเลยมิได้ยกเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓
พิพากษายืน.