คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทจำเลยบังอาจเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการทำนาโดยไม่ได้รับอนุญาติ เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์โจทก์ห้ามจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไม่ให้จำเลยยุ่งเกี่ยว และใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาท จำเลยได้รับหนังสือ บอกกล่าวแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่า โจทก์ได้กล่าวถึงสภาพ แห่งข้อหาว่า จำเลยทำละเมิดเข้าไปใช้ประโยชน์โดยทำนาในที่ดินของโจทก์ และบรรยายถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือโจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไม่ให้จำเลยยุ่งเกี่ยวและใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามฟ้องโจทก์จึงได้บรรยายโดยแจ้งชัดแล้ว โจทก์หาจำต้องกล่าวให้ละเอียดไปถึงว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในส่วนใดของโฉนดที่ดินที่โจทก์ฟ้อง และส่วนใดเป็นกรรมสิทธิ์ของพจำเลยบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ตั้งแต่เมื่อใด เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา และในคดีแพ่งโจทก์หาจำต้องบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดกรณีพิพาทในฟ้องดังเช่นการบรรยายฟ้องในคดีอาญาแต่อย่างใดไม่ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 วรรคสอง แล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3327 ตำบลในเมือง (ยางซ้าย) อำเภอเมืองจังหวัดสุโขทัย จำเลยละเมิดสิทธิของโจทก์โดยเข้าไปทำประโยชน์ทำนาในที่ดินแปลงพิพาท โจทก์มอบอำนาจให้ทนายโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยเพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวและใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาทแต่เพิกเฉยไม่ยอมออกจากที่ดินแปลงพิพาท การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยและบริวารอพยพขนย้ายและห้ามใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาท
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในส่วนใดของโฉนดที่ดินที่โจทก์ฟ้องส่วนใดเป็นกรรมสิทธิ์ของนายพิณ เทพทอง จำเลยรุกที่ดินของโจทก์แต่เมื่อใดทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินตามฟ้องหรือผู้มีชื่อในโฉนดเดิมคนใดไม่ได้ครอบครองที่ดิน ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนดอายุความ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่พิเคราะห์แล้วโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3327 ตำบลในเมือง (ยางซ้าย)อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 68 ตารางวาจำเลยได้บังคับเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการทำนาโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ห้ามจำเลยแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไม่ให้จำเลยยุ่งเกี่ยวและใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาท จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วดังนี้ เห็นว่า โจทก์ได้กล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยทำละเมิดเข้าไปใช้ประโยชน์โดยทำนาในที่ดินของโจทก์และบรรยายถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไม่ให้จำเลยยุ่งเกี่ยวและใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามฟ้องโจทก์จึงได้บรรยายโดยแจ้งชัดแล้ว โจทก์หาจำต้องกล่าวให้ละเอียดไปถึงว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในส่วนใดของโฉนดที่ดินที่โจทก์ฟ้อง และส่วนใดเป็นกรรมสิทธิ์ของนายพิณ เทพทองจำเลยบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ตั้งแต่เมื่อใดดังที่จำเลยให้การไม่ เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา และในคดีแพ่งโจทก์หาจำต้องบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดกรณีพิพาทมาในฟ้องดังเช่นการบรรยายฟ้องในคดีอาญาแต่อย่างใดไม่ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้วที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share