คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2684/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยลงชื่อโดยทนายความของจำเลยซึ่งจำเลยไม่ได้ให้อำนาจดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์ เป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นผู้ตรวจรับชอบที่จะสั่งแก้ไขเสียให้ถูกต้อง หรือไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นกลับรับอุทธรณ์ของจำเลย จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการเขียนและยื่นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง จึงให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 297, 371 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยมิได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธฐานพยายามฆ่า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก,72 วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี ริบของกลาง ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า นายไพบูลย์ ศรีหาคิมทนายความของจำเลยลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ แต่ตามใบแต่งทนายความของจำเลยไม่ได้ระบุให้มีอำนาจใช้สิทธิในการอุทธรณ์ คำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่นายไพบูลย์ทนายความของจำเลยลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์จึงเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบพิพากษาให้อุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยลงชื่อโดยนายไพบูลย์ ศรีหาคิม ทนายความของจำเลยซึ่งจำเลยไม่ได้ให้อำนาจดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์ ถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในชั้นตรวจรับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลชั้นต้นผู้ตรวจรับชอบที่จะสั่งแก้ไขเสียให้ถูกต้อง หรือไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นหาได้ดำเนินการดังกล่าวไม่ กลับรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้ดำเนินการต่อมา จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการเขียนและยื่นคำคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกา เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยเสียนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยเสีย ให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่

Share