แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจะซื้อจะขายรถยนต์พิพาทมีข้อตกลงให้มีผลบังคับต่อเมื่อได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมวิ่งกับบริษัท ข.ในเส้นทางกรุงเทพมหานคร – จันทบุรี หรือกรุงเทพมหานคร – ตราด ซึ่งการจะได้รับอนุมัติหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคต ไม่แน่นอนข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นเงื่อนไข ต่อมากระทรวงคมนาคมอนุมัติให้รถยนต์พิพาทเข้าร่วมวิ่งกับบริษัท ข.ได้ เงื่อนไขตามสัญญาจึงสำเร็จลงมีผลบังคับคู่สัญญา เมื่อจำเลยไม่สามารถโอนรถยนต์พิพาทให้โจทก์เพราะเหตุจำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อและให้ผู้เช่าซื้อยึดรถยนต์พิพาทไป การที่จำเลยถูกยึดรถยนต์พิพาทเพราะไม่ชำระค่าเช่าซื้อ เป็นเรื่องที่จำเลยไม่ขวนขวายจัดการปัญหาของจำเลยเองให้เรียบร้อย มิใช่เรื่องนอกเหนืออำนาจของจำเลยแต่อย่างใด จึงเป็นความผิดของจำเลย มิใช่เหตุพ้นวิสัยหรือเหตุสุดวิสัยซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถของจำเลยที่จะป้องกันได้จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์โดยสารปรับอากาศรวม 2 คัน ซึ่งเช่าซื้อมาจากบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2526 จำเลยได้ทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าถ้าหากบริษัทขนส่ง จำกัด อนุมัติให้รถยนต์โดยสารทั้งสองคันดังกล่าวเข้าร่วมในเส้นทางสายกรุงเทพมหานคร-จันทบุรี และสายกรุงเทพมหานคร-ตราด เมื่อใดแล้วจำเลยจะขายรถยนต์ทั้งสองคันพร้อมกับสิทธิการเดินรถร่วมที่ได้รับมาให้แก่โจทก์ในราคาคันละ2,000,000 บาท ถ้าหากจำเลยผิดข้อตกลงยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงินจำนวน 2,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 16 มกราคม 2527 จำเลยได้โอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์โดยสารปรับอากาศทั้งสองคันดังกล่าวให้แก่นายกวี ศักดิ์สมบูรณ์พร้อมกับดำเนินการให้นายกวีได้รับอนุญาตให้นำรถยนต์ทั้งสองคันเข้าร่วมสัมปทานกับบริษัทขนส่ง จำกัด ซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2527 จำเลยผิดข้อตกลงกับโจทก์จึงต้องชำระค่าปรับแก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์ได้รับความเสียหายถ้าหากนำรถยนต์เข้าวิ่งรับผู้โดยสารจะมีรายได้คันละ 5,000 บาทต่อวัน รวมสองคันเป็นเงินวันละ 10,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี หักระยะเวลาซ่อมรถยนต์ปีละ 1 เดือนต่อหนึ่งคัน รวมเป็นรายได้ที่ขาดไปทั้งสิ้นจำนวน 16,500,000 บาท รวมกับเงินค่าปรับแล้วเป็นเงินจำนวน18,500,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ทราบดีว่าจำเลยค้างชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาททั้งสองคันเป็นเงินจำนวนมาก เนื่องจากถูกจับฐานนำรถยนต์แล่นทับเส้นทางสัมปทานของบริษัทขนส่ง จำกัด จึงออกวิ่งไม่ได้โจทก์จึงมาทำสัญญาจะซื้อจะขายรถยนต์พิพาทดังกล่าวกับจำเลย ต่อมาบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลย แล้วยึดรถยนต์พิพาททั้งสองคันไป และต่อมานายกวีได้เช่าซื้อไป จึงเป็นเหตุพ้นวิสัยที่จำเลยจะโอนขายรถยนต์พิพาททั้งสองคันแก่โจทก์ จำเลยไม่ได้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาททั้งสองคันและจำเลยก็มิได้ดำเนินการให้นายกวีนำรถยนต์พิพาททั้งสองคันเข้าร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเบี้ยปรับจำนวน 2,000,000 บาทเบี้ยปรับสูงเกินส่วน หากเสียหายก็ไม่เกิน 50,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าว นับจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.5 หรือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ข้อ 3 มีข้อความว่า หากรถยนต์พิพาททั้งสองคันดังกล่าวทางบริษัทขนส่ง จำกัด ไม่รับเข้าร่วมในเส้นทางสาย 34 กรุงเทพมหานคร-จันทบุรี หรือสาย 33 กรุงเทพมหานคร-ตราด สัญญาซื้อขายเป็นอันยกเลิกและข้อ 4 มีข้อความว่า ถ้ารถยนต์พิพาททั้งสองคันดังกล่าวได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมกับบริษัทขนส่ง จำกัด แล้ว “ผู้ขาย”(จำเลย) ไม่ยอมขายให้ “ผู้ซื้อ” (โจทก์) จำเลยยินยอมให้โจทก์ปรับเป็นจำนวนเงิน 2,000,000 บาท เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายรถยนต์พิพาทดังกล่าวจะมีผลบังคับได้ก็ต่อเมื่อบริษัทขนส่ง จำกัด อนุมัติให้เข้าร่วมวิ่งในเส้นทางกรุงเทพมหานคร-จันทบุรี หรือกรุงเทพมหานคร-ตราด ซึ่งการจะได้รับอนุมัติหรือไม่เป็นเหตุการณ์ในอนาคต ไม่แน่นอนข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นเงื่อนไข ต่อมาปรากฏว่ากระทรวงคมนาคมอนุมัติตามเรื่องเดิมที่จำเลยยื่นไว้ ให้รถยนต์พิพาททั้งสองคันดังกล่าวเข้าร่วมวิ่งกับบริษัทขนส่ง จำกัดตามเอกสารหมาย จ.1 เงื่อนไขตามสัญญาซื้อขายสำเร็จลงมีผลบังคับคู่สัญญา เมื่อจำเลยไม่สามารถโอนรถยนต์พิพาทดังกล่าวให้โจทก์ได้เพราะเหตุที่จำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ เนื่องจากไม่ชำระเงินค่างวดเช่าซื้อ บริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด ผู้ให้เช่าซื้อได้ยึดรถยนต์พิพาททั้งสองคันดังกล่าวไป การที่จำเลยถูกยึดเอารถยนต์พิพาทไปเพราะไม่ชำระเงินค่างวดเช่าซื้อ เป็นเรื่องที่จำเลยไม่ขวนขวายจัดการปัญหาของจำเลยเองให้เรียบร้อย ซึ่งมิใช่เรื่องนอกเหนืออำนาจของจำเลยแต่อย่างใด จึงเป็นความผิดของจำเลย มิใช่เป็นเหตุพ้นวิสัยหรือเหตุสุดวิสัยซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถของจำเลยที่จะป้องกันได้ตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติว่า”หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้มีผลพิบัติก็ดีไม่มีใครจะอาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะเช่นนั้น” จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และต้องรับผิด แต่พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์แล้ว สมควรลดเบี้ยปรับลงโดยกำหนดให้จำเลยชดใช้เบี้ยปรับเป็นเงิน 500,000 บาทแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.