คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8254/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ มีวิธีปฏิบัติในการชำระค่าสินค้าเป็นหลักสากลแตกต่างจากการซื้อขายทั่วไป คือ ผู้ซื้อจะต้องขอเครดิตจากธนาคารใดธนาคารหนึ่งภายในประเทศของผู้ซื้อสั่งให้ตัวแทนของธนาคารนั้นชำระราคาสินค้าให้แก่ผู้ขาย โดยเมื่อผู้ขายได้นำสินค้าตามที่สั่งซื้อส่งมอบให้แก่ผู้ขนส่งแล้วต้องนำเอกสารเกี่ยวกับสินค้าที่ผู้ขนส่งมอบให้เป็นหลักฐานว่าได้รับสินค้าไว้จากผู้ขายแล้ว ไปยื่นเสนอต่อธนาคารซึ่งเป็นตัวแทนของธนาคารในประเทศผู้ซื้อให้จ่ายเงินค่าสินค้าแก่ผู้ขายไปก่อน โดยวิธีการเช่นนี้ผู้ซื้อสามารถทำได้โดยยื่นคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตแก่ธนาคารหนึ่งในประเทศโดยนำหลักทรัพย์มาวางเป็นประกันไว้แก่ธนาคารนั้น และเมื่อสินค้าเดินทางมาถึงประเทศผู้ซื้อ ผู้ขนส่งมีหน้าที่ต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ผู้ซื้อเพราะเป็นผู้ถือใบตราส่งสินค้าไว้ เมื่อโจทก์เป็นธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิรับมอบสินค้าไว้จากผู้ขนส่ง หากจำเลยจะมาขอรับสินค้าไปก็ต้องชำระราคาสินค้าพร้อมกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย และหากยังไม่มีเงินชำระแต่ต้องการรับสินค้าไปจำหน่ายก่อน จำเลยก็ต้องทำความตกลงกันอีกครั้งหนึ่งด้วยการทำสัญญาทรัสต์รีซีท เมื่อจำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์โดยขอรับสินค้าไปจำหน่ายก่อน แต่ไม่ชำระเงินค่าสินค้าภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีทดังกล่าว ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงอายุความในการใช้สิทธิดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30คือ มีกำหนด 10 ปี ไม่ใช่เป็นกรณีตัวแทนเรียกร้องเงินทดรองที่จ่ายแทนตัวการซึ่งมีอายุความ 2 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทกับโจทก์เพื่อขอรับเอกสารสิทธิในสินค้าไปรับสินค้าซึ่งจำเลยที่ 1 สั่งซื้อจากต่างประเทศจำนวน9 ฉบับ และตกลงชำระเงินค่าสินค้าตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาทรัสต์รีซีทแต่ละฉบับให้แก่โจทก์ พร้อมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ตกลงชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่โจทก์ชำระเงินค่าสินค้าไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามสัญญา โจทก์คิดอัตราแลกเปลี่ยนในวันครบกำหนดชำระเงินตามสัญญาแต่ละฉบับรวมเป็นต้นเงินจำนวน 423,014,485.62 บาท ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 221,110,496.14 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 644,283,802.36บาท โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 600,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และจำเลยที่ 1ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 34093, 34099 ตำบลหนองบัวอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และโฉนดเลขที่ 34396ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 2106, 2899 ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เป็นประกันหนี้ จำนวน 790,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย การคิดดอกเบี้ยโจทก์คิดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ โจทก์ติดตามทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระ ขอบังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 644,283,802.36บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 423,014,485.62บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบ

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันและแก้ไขคำให้การว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้เรียกร้องให้จำเลยที่ 1ชำระภายในกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเฉพาะบางรายการเท่านั้น และโจทก์ยังมิได้ชำระเงินค่าสินค้าแก่ผู้ขาย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้องและการคิดอัตราแลกเปลี่ยนไม่ถูกต้อง ยอดหนี้ตามฟ้องสูงเกินกว่าความเป็นจริง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ค้ำประกันมูลหนี้ตามฟ้องของโจทก์ ไม่มีการชำระเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตตามที่โจทก์อ้างเมื่อกรรมสิทธิ์ในสินค้าตกเป็นของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 1ชำระค่าสินค้า

จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 644,283,802.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 423,014,485.62 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 จำนองไว้และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบ

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยในข้อต่อมาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์สั่งให้ตัวแทนของโจทก์ในต่างประเทศชำระเงินค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 สั่งซื้อให้แก่ผู้ขายไปก่อน โดยโจทก์จะเรียกเก็บเงินจากจำเลยที่ 1 ในภายหลังเป็นลักษณะที่โจทก์รับทำงานแทนจำเลยที่ 1เรียกเอาเงินที่ได้ทดรองจ่ายจากจำเลยที่ 1 จึงมีอายุความฟ้องร้อง 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193(1) และ (7) นั้น เห็นว่าการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ มีวิธีปฏิบัติในการชำระค่าสินค้าเป็นหลักสากลแตกต่างจากการซื้อขายทั่วไป คือ ผู้ซื้อจะต้องขอเครดิตจากธนาคารใดธนาคารหนึ่งภายในประเทศของผู้ซื้อสั่งให้ตัวแทนของธนาคารนั้นชำระราคาสินค้าให้แก่ผู้ขายโดยเมื่อผู้ขายได้นำสินค้าตามที่สั่งซื้อส่งมอบให้แก่ผู้ขนส่งแล้ว ต้องนำเอกสารเกี่ยวกับสินค้าที่ผู้ขนส่งมอบให้เป็นหลักฐานว่าได้รับสินค้าไว้จากผู้ขายแล้วไปยื่นเสนอต่อธนาคารซึ่งเป็นตัวแทนของธนาคารในประเทศผู้ซื้อให้จ่ายเงินค่าสินค้าแก่ผู้ขายไปก่อน โดยวิธีการเช่นนี้ ผู้ซื้อสามารถทำได้โดยยื่นคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตแก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งในประเทศโดยนำหลักทรัพย์มาวางเป็นประกันไว้แก่ธนาคารนั้น และเมื่อสินค้าเดินทางมาถึงประเทศผู้ซื้อ ผู้ขนส่งมีหน้าที่ต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ผู้ซื้อเพราะเป็นผู้ถือใบตราส่งสินค้าไว้ ในกรณีตามฟ้อง โจทก์เป็นธนาคารผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้มีสิทธิรับมอบสินค้าไว้จากผู้ขนส่ง การที่จำเลยที่ 1 จะมาขอรับสินค้าไป จำเลยที่ 1 ก็ต้องชำระราคาสินค้าที่โจทก์ได้สั่งให้ธนาคารตัวแทนในต่างประเทศจ่ายให้แก่ผู้ขายไปพร้อมกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายหากจำเลยที่ 1 ยังไม่มีเงินชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ แต่ต้องการรับสินค้าไปจำหน่ายก่อน จำเลยที่ 1 ก็ต้องทำความตกลงอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการทำสัญญาทรัสต์รีซีทคดีนี้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาทรัสต์รีซีท กับโจทก์รวม 9 ฉบับ ขอรับเอกสารสิทธิเพื่อนำไปรับสินค้าออกไปจำหน่ายก่อน โดยสัญญาว่าจะชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ละฉบับ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินค่าสินค้าภายในกำหนดเวลาตามที่ระบุไว้ในสัญญาทรัสต์รีซีท โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญาดังกล่าว สิทธิเรียกร้องให้ชำระเงินตามสัญญาทรัสต์รีซีทไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงอายุความในการใช้สิทธิดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 19/30 คือมีกำหนด 10 ปี ไม่ใช่เป็นกรณีตัวแทนเรียกร้องเงินทดรองที่จ่ายแทนตัวการซึ่งมีอายุความ 2 ปี ดังที่จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ…”

พิพากษายืน

Share