แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 มาตรา 11 วรรคสองที่บัญญัติว่า “ตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” นั้นผู้ถือมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย” หมายความว่าตราจองนั้นมีผลเท่ากับโฉนดเมื่อที่ดินที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้วและมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทและจะเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามตราจองนี้ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์ อันมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทโดยเข้าทำนาโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ ในที่พิพาทโดยทางครอบครองปรปักษ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินนา 1 แปลง ได้มาโดยการเข้าครอบครองถือเอาเป็นเจ้าของในที่ดินรกร้างว่างเปล่า บุกเบิกหักสร้างเป็นนามาประมาณ17 ปีแล้ว ได้ครอบครองต่อเนื่องกันมาด้วยความสงบ และเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่เคยสละละทิ้งและไม่มีผู้ใดขัดขวาง ต่อมาจำเลยนำรังวัดที่ดินของโจทก์รวมกับที่ของบุคคลอื่นอีก โดยอ้างว่าเป็นที่ของจำเลยและขอออกโฉนด โจทก์ได้คัดค้านต่อพนักงานที่ดิน และนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว เนื้อที่ 1,278 ไร่ ของจำเลย โจทก์ขอเข้าทำนาในที่พิพาทโดยการแบ่งปันข้าวที่เก็บเกี่ยวไว้แต่ละปีเป็นการตอบแทนแก่จำเลย จำเลยได้เข้ารังวัดที่ดินทั้งหมดเพื่อขอออกโฉนด โจทก์คัดค้าน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้วตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 มาตรา 11 วรรคสองบัญญัติว่าตราจองที่ตราว่า “ได้ทำประโยชน์แล้ว” นั้น ผู้ถือมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายซึ่งหมายความว่า ตราจองนั้นมีผลเท่ากับโฉนด ทางพิจารณาคดีนี้โจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว และมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ฉะนั้น จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทและจะเสียกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามตราจองนี้ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์อันมีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และ ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทโดยเข้าทำนาโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่นาพิพาทโดยทางครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น