แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบันทึกต่ออายุสัญญานั้นตามเอกสารท้ายฟ้องไว้กับโจทก์เมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีข้อความใดปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาหรือบันทึกต่ออายุสัญญาดังกล่าว จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาและบันทึกต่ออายุสัญญาตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว กรณีจึงไม่ต้องอาศัยพยานเอกสารทั้ง 2 ฉบับที่โจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมายมาประกอบการพิจารณาอีก
ศาลย่อมมีดุลพินิจที่จะรับฟังเอกสารที่คู่ความส่งเป็นพยานโดยไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งได้โดยอาศัยหลักตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 เมื่อเอกสารที่โจทก์อ้างส่งโดยไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยนั้น จำเลยไม่ได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริง ทั้งยังเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีด้วยแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมรับฟังพยานเอกสารได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 บัญญัติให้คู่ความส่งสำเนาเอกสารให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ในกรณีที่มีการระบุพยานเพิ่มเติมหมายความถึงให้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันที่ทำการนำสืบถึงพยานเอกสารนั้นจริง ๆไม่น้อยกว่า 3 วัน มิได้หมายความถึงก่อนวันทำการสืบพยานครั้งแรกของคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์อีกเพื่อเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์อีกสองฉบับตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 และ 10 ต่อปีตามลำดับ และยอมให้ทบดอกเบี้ยที่ค้างชำระเป็นต้นเงินตามธรรมเนียมประเพณีการคิดบัญชีของธนาคาร จำเลยได้ทำบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกออกไปอีก 12 เดือน เพื่อเป็นการประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งสองฉบับ จำเลยได้จำนองที่ดินหลายแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์ด้วย หลังจากนั้นจำเลยได้นำเงินเข้าและสั่งจ่ายเช็คถอนเงินจากบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตลอดมาเมื่อครบกำหนดตามสัญญา จำเลยไม่ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้น โจทก์ได้หักเงินฝากประจำที่จำเลยจำนำโจทก์ไว้ชำระหนี้แล้วแต่ไม่พอจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ 3,043,432.77 บาท ขอให้บังคับจำเลยไถ่ถอนจำนองเป็นเงิน3,043,932.77 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จหากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ หากไม่พอให้ศาลยึดทรัพย์อื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยไม่เคยทำสัญญาาบัญชีเดินสะพัดโดยเปิดฝากกระแสรายวันกับโจทก์สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ใช่บัญชีเดินสะพัดตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจำนอง ไม่เคยจำนำหรือตกลงใด ๆ เกี่ยวกับสมุดคู่ฝากเงินประจำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน2,703,904.60 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงิน 1,900,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปีของเงินส่วนที่เกิน 1,900,000 บาท นับแต่วันที่3 มกราคม 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตาม น.ส.3 ขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยฎีกาคัดค้านว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และหนังสือต่ออายุสัญญาฉบับดังกล่าวออกไปอีก 1 ปี ตามเอกสารหมายจ.3 และ จ.5 ศาลไม่ควรรับฟัง เพราะมิได้ปิดอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด และจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยขอทำสัญญาเดินสะพัดบัญชี ศาลฎีกาได้ตรวจคำให้การดังจำเลยอ้างแล้วจำเลยให้การว่า “จำเลยไม่เคยขอทำสัญญาเดินสะพัดบัญชีโดยเปิดฝากกระแสรายวัน เลขที่ 503 กับธนาคารโจทก์ สาขาประจวบคีรีขันธ์ และจำเลยขอปฏิเสธต่อสู้คดีต่อไปอีกว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีท้ายฟ้อง เอกสารหมายเลข 3 และ 4 (คือเอกสารหมาย จ.3, จ.4 และ จ.5 ที่โจทก์ส่งเป็นพยาน) ไม่ใช่บัญชีเดินสะพัดตามกฎหมาย” จากคำให้การดังกล่าว เห็นว่าไม่มีข้อความตอนใดที่จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือบันทึกต่ออายุสัญญาดังกล่าวตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และ 4 (คือเอกสารหมาย จ.3,จ.4 และ จ.5 ที่โจทก์ส่งเป็นพยาน) เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาเอกสารดังกล่าว จึงต้องฟังว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 หรือเอกสารหมาย จ.3 และได้ทำหนังสือต่ออายุสัญญาฉบับดังกล่าวไปอีก1 ปี ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 หรือเอกสารหมาย จ.5 ที่โจทก์ส่งเป็นพยานดังนั้นจึงไม่ต้องอาศัยสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมาย จ.3 หรือบันทึกต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารหมาย จ.5 ที่โจทก์ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมายกำหนดมาประกอบการพิจารณาอีก
การที่ศาลจะรับฟังพยานเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่ส่งเอกสารนั้น ๆ ให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่นั้นย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาล โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 และเห็นว่าเอกสารหมาย จ.14 ถึงจ.38 รวมตลอดถึงเอกสารหมาย จ.39 ถึง จ.77 จำเลยไม่ได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้น ทั้งยังเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีดังวินิจฉัยแล้ว ดังนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานเอกสารหมาย จ.14 ถึง จ.77 ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย ป.จ.1 นั้น โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ไม่ควรรับฟัง ในปัญหาข้อนี้ ปรากฏว่าพยานเอกสารหมาย ป.จ.1 นั้น เป็นพยานที่โจทก์ได้ระบุเพิ่มเติมในภายหลังและตามคำแถลงของจำเลยฉบับลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2526 ว่า โจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย ป.จ.1 ให้จำเลยเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2526 และโจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวเป็นพยานประกอบคำเบิกความนางสาวพจน์สุนีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2526 ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 บัญญัติไว้ความว่า “คู่ความฝ่ายใดอ้างอิงเอกสาร เป็นพยานหลักฐาน ……. ให้ ……..ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ ก่อน วันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน ฯลฯ ” นั้นในกรณีที่มีการระบุพยานเพิ่มเติมเช่นนี้จึงหมายความถึงให้ส่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ ให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันที่ทำการนำสืบถึงพยานเอกสารนั้น ๆ จริง ๆ ไม่น้อยกว่าสามวัน มิได้หมายความถึงว่าก่อนวันทำการสืบพยานครั้งแรกของคดี ดังนั้นสำหรับเอกสารหมาย ป.จ.1 จำเลยได้รับสำเนาเอกสารนี้ก่อนวันที่ทำการสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันแล้ว จึงไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังดังจำเลยฎีกา
พิพากษายืน