คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2680/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่าย ค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและ ค่าชดเชยส่วนจำเลย ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชดใช้เงินค่ารถยนต์ของจำเลยที่โจทก์นำไปใช้งานส่วนตัวที่บ้านโดยพลการแล้วสูญหายไปและโจทก์ได้ รับสภาพหนี้ไว้แม้ทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจะเป็นคดีแรงงานแต่ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเป็นคนละประเด็นไม่เกี่ยวข้องกันจึงไม่อาจรับฟ้องแย้งไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้าขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า24,000บาทค่าจ้างค้างจำนวน24,000บาทและค่าชดเชยจำนวน144,000บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์แต่โจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตกลงไว้กับจำเลยจึงไม่มาทำงานและไม่เขียนใบลาออกวันที่29พฤศจิกายน2534โจทก์นำรถยนต์ของจำเลยหมายเลขทะเบียน3ห-3583กรุงเทพมหานครกลับไปใช้งานส่วนตัวที่บ้านโดยพลการต่อมารถของจำเลยสูญหายไปโจทก์รับสภาพหนี้จำเลยจำนวนเงิน250,000บาทโดยตกลงผ่อนชำระแก่จำเลยเดือนละ5,000บาทโจทก์ผ่อนชำระมาเป็นจำนวนเงิน65,000บาทค้างอีก185,000บาทจำเลยทวงถามโจทก์เพิกเฉยระหว่างที่โจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดโจทก์ได้ทำงานให้บุคคลอื่นและใช้ตำแหน่งของโจทก์แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกับพนักงานอื่นเช่นตั้งบริษัทเข้ามารับงานแข่งกับจำเลยเบียดบังงานที่ลูกค้าจำเลยเข้ามาติดต่อโดยนำงานนั้นไปทำเป็นประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่นหลายครั้งหลายหนในระหว่างวันที่6กรกฎาคม2534ถึงวันที่27กุมภาพันธ์2536จำเลยขอเรียกค่าเสียหายเดือนละ48,000บาทระยะเวลา2ปีเป็นเงิน1,152,000บาทขอให้บังคับโจทก์ชดใช้เงินค่ารถยนต์185,000บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่1มีนาคม2536เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะชำระให้แก่จำเลยเสร็จและให้ใช้ค่าเสียหายจำนวนเงิน1,152,000บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะชำระแก่จำเลยเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่ากรณีรถยนต์จำเลยสูญหายเป็นมูลเหตุจากการผิดสัญญาชำระหนี้ทางแพ่งไม่ใช่สัญญาจ้างแรงงานจำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเข้ามาในคดีนี้ที่ศาลแรงงานจำเลยกระทำผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเพราะไม่จัดทำประกันภัยรถยนต์คันที่หายโจทก์ตกลงผ่อนชำระค่ารถที่หายก็เพราะจำเลยขู่เข็ญโจทก์ต้องยินยอมลงนามในสัญญารับสภาพหนี้รถคันที่หายมีราคาเพียง150,000บาทโจทก์ไม่เคยกระทำทุจริตต่อหน้าที่หรือทำให้จำเลยเสียหายขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
วันนัดพิจารณาโจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าโจทก์ทำงานวันที่1กรกฎาคม2534ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ48,000บาทกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่1และวันที่16ของเดือนจำนวนค่าจ้างที่ค้างวันที่16กุมภาพันธ์2536ถึงวันที่28กุมภาพันธ์2536หลังจากการหักภาษีณที่จ่ายจำนวน22,072บาททางจำเลยชำระให้โจทก์เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่14กรกฎาคม2537
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย185,000บาทแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่1มีนาคม2536เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จยกฟ้องแย้งของจำเลยบางส่วนในเรื่องค่าเสียหาย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า”ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อกฎหมายว่าจำเลยมีอำนาจฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดกรณีที่รถยนต์สูญหายหรือไม่เห็นว่าตามฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงานและตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้บังคับโจทก์ชดใช้เงินค่ารถยนต์ของจำเลยที่โจทก์นำไปใช้งานส่วนตัวที่บ้านโดยพลการแล้วสูญหายไปและโจทก์ได้รับสภาพหนี้ไว้นั้นเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานแม้ว่าทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจะเป็นคดีแรงงานก็ตามแต่ข้อเท็จจริงตลอดจนพยานหลักฐานที่จะนำสืบเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างกันไม่มีความเกี่ยวข้องกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่อาจรับไว้พิจารณารวมกับฟ้องเดิมของโจทก์ได้ที่ศาลแรงงานกลางรับฟ้องแย้งนั้นไม่ชอบอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยเสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share