คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เริ่มแรกคนร้ายได้ร่วมกันมาสามคน และกระตุกท้ายรถจักรยานสองล้อที่ผู้เสียหายกำลังขี่อยู่ล้มลง จากนั้นคนร้ายคนหนึ่งก็ขี่รถจักรยานสองล้อคันนั้นไป อีกสองคนใช้มีดเข้าจี้และได้ขู่ไม่ให้ผู้เสียหายร้อง และให้ถอดสร้อยคอทองคำให้ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิดกรณีจึงครบองค์ความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและขอเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน มีมีดพกปลายแหลมเข้าทำการปล้นทรัพย์ของนางสาวบุญมา ไทยเจริญ และทรัพย์ของนายประมณ แก้วเกตุ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนางสาวบุญมาไป จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกฐานกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษมาแล้ว และกระทำผิดในขณะที่อายุเกินกว่า 17 ปีแล้วพ้นโทษมายังไม่เกิน 5 ปี กลับมากระทำผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340, 92 ริบของกลางและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าของ

จำเลยให้การปฏิเสธ และรับว่าเคยต้องโทษพ้นโทษจริงมาดังฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 จำคุก 10 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 เป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน ริบมีดของกลาง ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่เจ้าทรัพย์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริง และเห็นว่าเริ่มแรกคนร้ายได้ร่วมกันมาสามคนและกระตุกท้ายรถจักรยานสองล้อที่ผู้เสียหายกำลังขี่อยู่ล้มลง จากนั้นคนร้ายคนหนึ่งก็ขี่รถจักรยานสองล้อคันนั้นไป อีกสองคนใช้มีดเข้าจี้และได้ขู่ไม่ให้ผู้เสียหายร้องและให้ถอดสร้อยคอทองคำให้ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด กรณีจึงครบองค์ความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว

พิพากษายืน

Share