แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่ ณ. ทำสัญญาขายรถยนต์ให้แก่โจทก์แทนการชำระหนี้โดยแปลงหนี้เงินกู้เป็นการซื้อขายรถยนต์แทน ถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวมีเงื่อนไขระบุไว้ว่าในระหว่างที่ผู้ขายยังไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อให้ถือว่ายังไม่มีการซื้อขาย ดังนั้น จึงถือว่าเป็นกรณีที่หนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นั้นยังมิได้เกิดขึ้น หนี้เดิมคือหนี้เงินกู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 351 ยังไม่ระงับสิ้นไป ซึ่งในกรณีนี้ถือได้ว่าโจทก์มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมาแสดงแล้ว และไม่เป็นกรณีที่จำต้องปิดอากรแสตมป์ตาม ป. รัษฎากรฯ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยา จำเลยที่ 2 เป็นบิดาของนายณรงค์ชัย นายณรงค์ชัยกับจำเลยที่ 1 ร่วมกันกู้ยืมเงินจากโจทก์ เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ นายณรงค์ชัยจึงขายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้โจทก์ในราคา 343,200 บาท แต่นายณรงค์ชัยไม่ส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้แก่โจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ให้ร่วมกันคืนเงิน 343,200 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 260,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2537 และของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 20 มกราคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้หักเงินที่มีผู้ชำระหนี้แทน เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมและ 2 กรกฎาคม 2539 ครั้งละ 10,000 บาท รวมจำนวน 20,000 บาท ออก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายณรงค์ชัย วงศ์อารีย์ ที่ตกทอดได้แก่ตน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายณรงค์ชัย วงศ์อารีย์ เป็นสามีของจำเลยที่ 1 และเป็นบุตรของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2537 นายณรงค์ชัยได้ยืมเงินโจทก์จำนวน 200,000 บาท และมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้แก่โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ตามสำเนาภาพถ่ายสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เอกสารหมาย จ.4 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2538 นายณรงค์ชัยได้กู้ยืมเงินโจทก์อีกจำนวน 60,000 บาท ตามสำเนาภาพถ่ายสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.2 หลังจากนั้นนายณรงค์ชัยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงรับจะชำระหนี้แทนและได้สั่งจ่ายเงินตามเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาพะเยา ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2538 จำนวนเงิน 343,200 บาท เพื่อชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยพร้อมทั้งค่าเสียหายมอบให้แก่โจทก์ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินดังปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2539 นายณรงค์ชัยได้ทำสัญญาขายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก – 2013 พะเยา ให้แก่โจทก์และได้มอบใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันแทนการชำระหนี้ ดังปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.6 แต่หลังจากนั้นนายณรงค์ชัยไม่ได้ส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องนายณรงค์ชัยกับจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาในข้อหายักยอกทรัพย์ และนายณรงค์ชัยถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญากู้เป็นการวินิจฉัยนอกคำฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า การที่นายณรงค์ชัยทำสัญญาขายรถยนต์ให้แก่โจทก์แทนการชำระหนี้โดยแปลงหนี้เงินกู้เป็นการซื้อขายรถยนต์แทนนั้นถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคแรก แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อพิเคราะห์สำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.6 แล้ว เห็นว่า มีข้อตกลงเป็นเงื่อนไขระบุไว้ในสัญญาซื้อขายข้อ 2 ว่า ในระหว่างที่ผู้ขายยังไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อให้ถือว่ายังไม่มีการซื้อขาย ฉะนั้น จึงถือว่าเป็นกรณีที่หนี้อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะแปลงหนี้ใหม่นั้นมิได้เกิดมีขึ้น หนี้เดิมคือหนี้เงินกู้ตามสำเนาภาพถ่ายสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ยังหาระงับสิ้นไปไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 351 ซึ่งในกรณีนี้ถือได้ว่าโจทก์มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมาแสดงแล้ว และไม่เป็นกรณีที่จำต้องติดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด…”
พิพากษายืน