คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2674/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยขับรถแซงรถคันหน้าขึ้นไปทางขวามือล้ำเข้าไปแล่นในช่องทางเดินรถของรถที่จะแล่นสวนทางมา เมื่อมีรถแล่นสวนทางมาแทนที่จำเลยจะชะลอความเร็วของรถลงเพื่อให้รถคันหน้าแล่นล้ำหน้าไปก่อน แล้วจึงค่อยบังคับรถหลบรถที่สวนมาเข้าช่องเดินรถของจำเลยตามปกติทางด้านซ้ายมือ จำเลยกลับบังคับรถหลบไปยังขอบทางด้านขวาเป็นเหตุให้รถพุ่งชนกองหินข้างทางจนพลิกคว่ำ ทำให้โจทก์ซึ่งโดยสารรถมาบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาการขับรถของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการขับรถด้วยความประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะบรรทุกโดยมีโจทก์และบุคคลอื่นร่วมโดยสารมาด้วย เมื่อมีรถยนต์ตู้แล่นอยู่ข้างหน้า จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงพยายามจะแซงขึ้นหน้ารถคันดังกล่าวโดยประมาทขณะที่ขับแซงยังไม่พ้น รถยนต์ตู้ได้ขับล้ำเข้ามาในทางวิ่งแซงของรถยนต์คันที่จำเลยขับ จำเลยได้หักพวงมาลัยรถไปทางขวาเพื่อมิให้รถที่ขับไปกระแทกรถคันหน้าทำให้รถที่จำเลยขับแล่นขึ้นไหล่ถนนชนกองวัสดุแล้วรถพลิกคว่ำผู้โดยสารตาย 1 คนส่วนโจทก์ได้รับอันตรายสาหัส การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 300,000 บาท
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 300,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โจทก์ถึงแก่กรรมนางมูล ดวงพิชัย ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 290,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยอ้างว่ารถยนต์ที่จำเลยขับเป็นรถเก่าทั้งบรรทุกคนถึง 20 คน มีน้ำหนักมากทำให้แล่นเร็วไม่ได้ เหตุที่รถยนต์ของจำเลยพลิกคว่ำเพราะถูกรถยนต์คันอื่นกระแทกหน้ารถของจำเลยขณะจำเลยขับรถแซงขึ้นไป อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัยมิได้เกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลย เห็นว่าพยานโจทก์และพยานจำเลยเบิกความต้องกันว่า ก่อนรถยนต์ของจำเลยจะพลิกคว่ำจำเลยได้ขับแซงรถยนต์ชนิดรถยนต์ตู้คันหนึ่งที่แล่นนำอยู่ข้างหน้าแต่ยังแซงไม่พ้นก็เกิดเหตุขึ้น โจทก์เบิกความเป็นพยานไว้ด้วยว่าขณะจำเลยพยายามขับรถแซงรถยนต์ตู้อยู่นั้น รถยนต์ตู้เปิดไฟสัญญาณห้ามแซงขณะเดียวกันมีรถยนต์แล่นสวนทางมาจำเลยบังคับรถหลบรถยนต์ที่แล่นสวนมาโดยหลบไปทางขวามือเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนกองหินข้างทาง รถยนต์ของจำเลยจึงพลิกคว่ำ ที่จำเลยอ้างว่ารถยนต์จำเลยพลิกคว่ำเพราะถูกรถยนต์ตู้เบียดกระแทกไม่มีเหตุผลให้รับฟังเพราะรถยนต์ตู้แล่นอยู่ในช่องทางตามปกติ จำเลยขับรถแซงจะขึ้นหน้าถ้าทางเดินรถแคบจำเลยสามารถขับกินทางเข้าไปในทางเดินรถที่สวนมาได้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อแซงพ้นแล้วสามารถบังคับรถเข้าแล่นในทางเดินรถตามปกติได้ เมื่อรถยนต์ตู้และรถจำเลยต่างแล่นอยู่คนละช่องทางขณะมีการแซงกันและไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้ขับรถยนต์ตู้มีสาเหตุไม่พอใจกันเนื่องจากการขับรถดังกล่าว จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่รถยนต์ตู้จะต้องเข้าไปเบียดกระแทกรถจำเลย จนรถของจำเลยพุ่งไปยังไหล่ทางฝั่งตรงกันข้าม ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น ตามพฤติการณ์มีเหตุผลให้น่าเชื่อว่า จำเลยขับรถแซงรถยนต์ตู้ขึ้นไปทางขวามือล้ำเข้าไปแล่นในช่องทางเดินรถของรถที่จะแล่นสวนทางมาขณะกำลังแซงขึ้นหน้ารถยนต์ตู้อยู่นั้นมีรถยนต์อื่นแล่นสวนทางมาแทนที่จำเลยจะชะลอความเร็วของรถลงเพื่อให้รถยนต์ตู้แล่นล้ำหน้าไปก่อนแล้วจำเลยค่อยบังคับรถหลบรถยนต์ที่สวนมาเข้าช่องเดินรถของจำเลยตามปกติทางด้านซ้ายมือจำเลยกลับบังคับรถของตนหลบรถยนต์ที่สวนทางมาไปยังขอบทางด้านขวามือซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ขับรถไม่ควรกระทำ เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยพุ่งชนกองหินข้างทางจนรถพลิกคว่ำอันเป็นลักษณะของการขับรถด้วยความประมาท จึงฟังได้ว่า จำเลยขับรถโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ซึ่งจำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน10,000 บาทเป็นจำนวนที่พอสมควรแล้วนั้น เห็นว่าจำเลยยอมรับว่าได้ทำหนังสือตามเอกสารหมาย จ.5 มอบแก่โจทก์และข้อความตามเอกสารดังกล่าวระบุว่า จำเลยยอมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลจนโจทก์หายดีอย่างเดิม แต่สภาพการป่วยเจ็บของโจทก์ปรากฏตามใบรับรองแพทย์เอกสารหมาย จ.4 ว่า กระดูกสันหลังคอหักไขสันหลังที่คอได้รับอันตรายรุนแรง มีอาการเป็นอัมพาตทั้งตัวไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในการดำรงชีวิตประจำวันได้ และหลังจากเกิดเหตุโจทก์มีชีวิตอยู่ต่อมาอีกประมาณ 9 เดือน ก็ถึงแก่ความตายปรากฏตามสำเนามรณบัตรท้ายคำร้องของผู้รับมอบอำนาจที่ขอเข้าเป็นคู่ความแทนฉบับลงวันที่ 21 ธันวาคม 2531 นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก การที่โจทก์ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนเดียวเป็นเงิน 300,000 บาทและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 290,000 บาท นับว่าพอสมควรแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share