คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2673/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีอาชีพขับรถรับส่งเด็กนักเรียน ขณะที่เด็กหญิงผู้เสียหายเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำเลยทำอนาจารผู้เสียหายโดยใช้มือลูบคลำที่อวัยวะสืบพันธุ์และจับหน้าอกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก
ขณะที่จำเลยขับรถพาผู้เสียหายและเด็กนักเรียนอื่นกลับบ้านได้แวะที่อาคารหลังหนึ่งให้เด็กนักเรียนอื่นลงไปซื้อขนม ผู้เสียหายจะลงไปด้วย แต่จำเลยไม่ให้ลงโดยบอกให้ผู้เสียหายฝากคนอื่นไปซื้อขนมแทนแล้วจำเลยนำตัวผู้เสียหายให้นอนราบกับเบาะ ใช้มือกดตัวผู้เสียหายไม่ให้ลุกขึ้น แล้วได้กระทำชำเราผู้เสียหาย หลังจากครั้งนี้แล้วจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายอีกหลายครั้ง จนกระทั่งผู้เสียหายเรียนจบถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยนอกจากกระทำชำเราในรถซึ่งแวะจอดที่อาคารดังกล่าวแล้วจำเลยยังพาผู้เสียหายเข้าไปในบ้านร้างแถวสุขุมวิทแล้วกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาตนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก คำว่า “พราก” หมายความว่า พาไปหรือแยกออกจากความปกครองดูแล จะกระทำโดยวิธีใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องใช้กำลังหรืออุบาย ดังนั้นไม่ว่าการพาไปเพื่อร่วมประเวณีจะอยู่ในเส้นทางหรือนอกเส้นทางรับส่งผู้เสียหายไปกลับจากโรงเรียนก็ย่อมเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งมีอาชีพขับรถรับส่งนักเรียนได้กระทำอนาจารเด็กหญิง ช.ผู้เสียหาย อายุสิบเอ็ดปีเศษ ซึ่งโดยสารรถยนต์ของจำเลยไปและกลับจากโรงเรียน โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมทุกวันหลังเลิกเรียน โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดา โดยไม่มีเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายอายุสิบสองปีเศษยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เมื่อระหว่างปี 2541 ถึง 2542 ต่อเนื่องกันจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายอายุสิบสองปีเศษยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนอีก โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้เดือนละ 1 ถึง 2 ครั้ง กลางปี 2542 จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และประมาณปลายปี 2542 จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายขณะอายุยังไม่เกินสิบห้าปีจนสำเร็จความใคร่ โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,279, 317, 91

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณานาย ป. บิดาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277วรรคแรก รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 24 ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 26 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 17 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก

โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยประกอบอาชีพขับรถตู้รับและส่งนักเรียนจากบ้านไปโรงเรียนและจากโรงเรียนกลับบ้านผู้เสียหายเกิดเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2527 และเป็นบุตรของโจทก์ร่วม ผู้เสียหายใช้บริการรถตู้ของจำเลยตั้งแต่เรียนที่โรงเรียน ว. ชั้นอนุบาลปีที่ 3 จนจบชั้นประถมปีที่ 6 หลังจากนั้นผู้เสียหายเข้าเรียนที่โรงเรียน ส. ตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 1 จนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 ก็ยังใช้บริการรถตู้ของจำเลยเช่นเดิม ระหว่างเวลาที่จำเลยขับรถรับส่งผู้เสียหายจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหลายครั้ง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมและจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยหรือไม่ และจำเลยยังมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 อีกกระทงหนึ่งหรือไม่ สำหรับปัญหาดังกล่าวปรากฏว่า จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 ทั้งได้ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะที่จำเลยขับรถรับผู้เสียหายกลับไปส่งบ้าน ระหว่างทางขณะอยู่บนรถผู้เสียหายให้จำเลยลูบคลำอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้เสียหาย และในระยะหลังผู้เสียหายให้จำเลยใช้นิ้วมือแยงที่อวัยวะสืบพันธุ์ของผู้เสียหาย ต่อมาขณะผู้เสียหายเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 1 เทอมที่ 2 จำเลยได้เอาอวัยวะสืบพันธุ์ของจำเลยสอดใส่เข้าไปในช่องคลอดผู้เสียหายเพียงเล็กน้อยและดึงอวัยวะสืบพันธุ์ออกเพราะผู้เสียหายบอกว่าเจ็บ ผู้เสียหายเกิดอาการอักเสบที่อวัยวะสืบพันธุ์มากจนต้องไปหาแพทย์ ต่อมาในระยะหลังจำเลยและผู้เสียหายมีเพศสัมพันธ์กันอีกหลายครั้ง ซึ่งข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่า ในปี 2539ขณะผู้เสียหายเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 เทอมที่ 2 จำเลยทำอนาจารผู้เสียหายโดยใช้มือลูบคลำที่อวัยวะสืบพันธุ์และจับหน้าอกผู้เสียหาย ในปี 2541 ขณะผู้เสียหายเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 1 หรือปีที่ 2 ขณะที่จำเลยขับรถพาผู้เสียหายและเด็กนักเรียนอื่นกลับบ้านได้แวะที่อาคารศุภาลัยเพลสให้เด็กนักเรียนอื่นลงไปซื้อขนม ผู้เสียหายจะลงไปด้วยแต่จำเลยไม่ให้ลงโดยบอกให้ผู้เสียหายฝากคนอื่นไปซื้อขนมแทน แล้วจำเลยนำตัวผู้เสียหายให้นอนราบกับเบาะแล้วใช้มือกดตัวผู้เสียหายไม่ให้ลุกขึ้นแล้วได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งแรกแล้วจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายประมาณเดือนละ 1 ถึง 2 ครั้ง จนกระทั่งผู้เสียหายเรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยกระทำชำเรานอกจากในรถซึ่งแวะจอดที่อาคารศุภาลัยเพลสแล้วจำเลยยังพาผู้เสียหายเข้าไปในสถานที่คล้าย ๆ บ้านร้างแถวสุขุมวิท ที่บ้านร้างขณะนั้นผู้เสียหายเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้วกระทำชำเราผู้เสียหายอีก 1 ครั้ง จากนั้นผู้เสียหายไม่ได้ติดต่อกับจำเลยอีก ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับความข้อนี้ เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้วรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก รวม 3 กระทง และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรกอีกกระทงหนึ่ง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ทั้งนี้เพราะที่ศาลล่างทั้งสองอ้างว่า ตามคำเบิกความของผู้เสียหายมิได้เบิกความยืนยันว่า อาคารศุภาลัยเพลสและบ้านร้างดังกล่าวอยู่นอกเส้นทางรับส่งนักเรียนตามปกติ เป็นข้อสงสัยว่าสถานที่ดังกล่าวทั้งสองแห่งอยู่ในหรือนอกเส้นทางรับส่งนักเรียนตามปกติของจำเลย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลยเป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยเหตุผลในการตีความกฎหมายตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ต้องระวางโทษนั้น เห็นว่า คำว่า “พราก” หมายความว่า พาไปหรือแยกออกจาก ความปกครองดูแลจะกระทำโดยวิธีใดก็ได้ไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องใช้กำลังหรืออุบาย แม้จะชักชวนแนะนำเด็กให้ไปด้วยโดยมิได้หลอกลวง และเด็กเต็มใจไปก็เป็นความผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการพาไปเพื่อร่วมประเวณีจะอยู่ในเส้นทางหรือนอกเส้นทางรับส่งผู้เสียหายไปกลับโรงเรียนก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารแล้ว ฎีกาโจทก์ร่วมในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น และมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ร่วมในประการต่อไปว่าศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยเหมาะสมแก่ความผิดหรือไม่ โจทก์ร่วมฎีกาโต้แย้งดุลพินิจวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า ในขณะที่ผู้เสียหายถูกกระทำอนาจารและกระทำชำเรานั้น ผู้เสียหายเพิ่งอายุ 12 ปี ถึง 13 ปี ยังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้ไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับตนเองซึ่งกำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์อันเป็นตราบาปติดตัวเสื่อมเสียไปชั่วชีวิตนั้น แม้ข้อเท็จจริงเท่าที่โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยนำสืบมาตามพฤติการณ์แห่งคดีนี้จะดูประหนึ่งว่าศาลล่างกำหนดโทษจำเลยในสถานเบาไม่เหมาะสมแก่ความผิดก็ตาม แต่เมื่อได้พิจารณาบาปเคราะห์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้รู้สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป และเบิกความให้ความรู้แก่ศาลถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ก่อนและหลังกระทำความผิดของจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีต้องด้วยความเห็นศาลฎีกาฎีกาโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี อีกกระทงหนึ่ง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน รวมกับโทษในข้อหาอื่นเป็นโทษจำคุกทั้งสิ้น 23 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share