คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2669/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุประมาณ 10 วัน จำเลยที่ 1 เคยทะเลาะและชกต่อยกับจำเลยที่ 2 เนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ค้างชำระค่าอาหารที่ร้านของจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุก่อนเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของจำเลยที่ 2 แล้วชะลอความเร็วของรถลงและตะโกนเข้ามาในร้านของจำเลยที่ 1 ว่า สบายนะเดี๋ยว มาต่อมาอีกสักครู่ ค.ภรรยาของจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของจำเลยที่ 1 และตะโกนเข้ามาในร้านอีกว่าซุมกระจอกหมายความว่าพวกกระจอก จากนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3ได้เข้ามายื่นอยู่ในหน้าร้านและเรียกคนในร้านออกไปเมื่อคนในร้านไม่ออกไปจำเลยที่ 3 ได้เข้ามาใช้มีดไล่แทงบุตรชายของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ถือมีดยืนคุมเชิงอยู่หน้าร้าน เมื่อจำเลยที่ 1 เข้าห้ามก็ถูกจำเลยที่ 3 ใช้มีดฟันจำเลยที่ 1 จึงเข้าไปคว้ามีดปังตอซึ่งมีไว้สำหรับสับเนื้อออกมานอกร้านและเห็นจำเลยที่ 3 วิ่งไล่ ว.โดยมีจำเลยที่ 2ยืนถือมีดคุกอยู่ จำเลยที่ 1 วิ่งผ่านจำเลยที่ 2 แต่ผ่านไม่ได้จึงเกิดการต่อสู้กับจำเลยที่ 2 ระหว่างต่อสู้ ท.ได้เข้ามาช่วยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย เมื่อปรากฎว่าก่อนจะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และ ค.ภรรยาจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายก่อเหตุและหาเรื่องจำเลยที่ 1 กับพวกขึ้นก่อน แม้จำเลยที่ 1มีสาเหตุทะเลาะชกต่อยกับจำเลยที่ 2 มาก่อนวันเกิดเหตุก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 2 และค.ยังเจ็บแค้นจำเลยที่ 1แล้วนำไปก่อเรื่องจนทำให้เกิดเหตุทำร้ายกันในเวลาต่อมาโดยจำเลยที่ 1 กับพวกหาได้สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้ด้วยไม่หากแต่เป็นการกระทำที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำพอสมควรแก่เหตุแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2532 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยที่ 1 กับพวกอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำ ตาดี โดยใช้ไม้และมีดปังตอเป็นอาวุธรุมตีและฟันถูกจำเลยที่ 3 ที่บริเวณตาซ้ายจนตาแตก ถูกจำเลยที่ 2 ที่บริเวณท้ายทอยลึกถึงกะโหลกศีรษะ และถูกนายทองคำ ตาดีที่บริเวณใบหน้าและศีรษะลึกถึงกะโหลก จนกะโหลกศีรษะบิ่น กระดูกอ่อนที่จมูกขาด แผลที่แก้มลึกถึงเหงือกและฟัน เป็นเหตุให้บุคคลทั้งสามได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83 จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสามนำสืบรับกับเหตุการณ์เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลยทั้งสามไว้คนละ 3 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 1 ปี6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ก่อนเกิดเหตุประมาณ 10 วัน จำเลยที่ 1 เคยทะเลาะและชกต่อยกับจำเลยที่ 2 เนื่องมาจากจำเลยที่ 2 ค้างชำระค่าอาหารที่ร้านของจำเลยที่ 1 ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1กับพวกวัยรุ่นประมาณ 4 – 5 คน ได้ร่วมกันใช้ไม้และมีดเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2ที่ 3 และนายทองคำได้รับอันตรายสาหัส และจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำได้ร่วมกันใช้มีดฟันทำร้ายจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่จำเลยที่ 1 กับพวกใช้ไม้และมีดเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำนั้นเป็นการกระทำโดยสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายกัน จำเลยที่ 1 จึงอ้างว่าได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ดังที่โจทก์ฎีกานั้นหรือไม่ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้รับฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุทำร้ายกันจำเลยที่ 1 กับพวกและจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำได้ทะเลาะโต้เถียงท้าทายแล้วเข้าต่อสู้ทำร้ายกันข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนางคำฮองบุตรพันธ์ ภรรยาของจำเลยที่ 2 ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าวันเกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุพยานกับจำเลยที่ 2 จัดงานเลี้ยงวันเกิดให้บุตรสาวที่บ้านของพยาน มีจำเลยที่ 3 เพื่อนของจำเลยที่ 2นายทองคำน้องชายของพยานและบุคคลอื่นอีกไปร่วมงานหลายคนหลังจากเลี้ยงสุราอาหารจนถึงเวลาประมาณ 22 นาฬิกา พยานและจำเลยที่ 2 ชวนเพื่อนที่ไปร่วมงานบางคนไปรับประทานสุกี้ ที่ร้านรสสยามซึ่งตั้งอยู่ในตลาดอำเภอบ้านดุงห่างจากบ้านพยานประมาณ 2-3 กิโลเมตร พยานกับพวกรวม 4 คน ล่วงหน้าไปก่อนส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 จะตามไป พยานกับพวกไปถึงร้านรสสยามและสั่งสุกี้ แล้วออกมายืนริมถนนเห็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 เดินมาถึงหน้าร้านร่มโพธิ์ของจำเลยที่ 1 มีบุตรชายของจำเลยที่ 1 กับพวกวัยรุ่นประมาณ 4-5 คน และจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันใช้ไม้และมีดเป็นอาวุธตีและฟันทำร้ายจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งตามคำเบิกความของนางคำฮองยืนยันว่าจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นฝ่ายก่อเหตุเข้ามาทำร้ายจำเลยที่ 2ที่ 3 เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นายคำเขียน โคตรภักดีพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกาขณะที่พยานนำรถเข็นไปจอดขายขนมอยู่ข้างร้านรสสยามห่างจากร้านร่มโพธิ์ประมาณ 30 เมตร เห็นจำเลยที่ 2 ดึงจำเลยที่ 3 ซึ่งถือมีดจะเข้าไปฟันพวกวัยรุ่นในร้านร่มโพธิ์ แต่จำเลยที่ 3 สะบัดหลุดแล้ววิ่งเข้าไปใช้มีดไล่ฟันพวกวัยรุ่น พยานได้เรียกนางคำฮองให้ไปเรียกจำเลยที่ 2 ออกมา ตามคำเบิกความของนายคำเขียนกลับได้ความว่าจำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายก่อเหตุเข้าไปใช้มีดไล่ฟันพวกของจำเลยที่ 1 ก่อนจำเลยที่ 1 อ้างตนเองเป็นพยานและมีนายวราชัยหรือโก้ วีระกุลบุตรชายของจำเลยที่ 1 เป็นพยานเบิกความสอดคล้องกันว่า วันเกิดเหตุก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของจำเลยที่ 1 แล้วชะลอความเร็วของรถลงและตะโกนเข้ามาในร้านของพยานว่าสบายนะ เดี๋ยว มา ต่อมาอีกสักครู่นางคำฮองภรรยาของจำเลยที่ 2ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านของพยานและตะโกนเข้ามาในร้านของพยานว่าชุมกระจอกหมายความว่าพวกกระจอก จากนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้เข้ามายืนอยู่ที่หน้าร้านเรียกคนในร้านออกไป เมื่อคนในร้านไม่ออกไปจำเลยที่ 3 ได้เข้ามาใช้มีดไล่แทงนายวราชัย ส่วนจำเลยที่ 2 ถือมีดยืนคุมเชิงอยู่หน้าร้าน จำเลยที่ 1 เข้าห้ามถูกจำเลยที่ 3 ใช้มีดฟันจำเลยที่ 1 จึงเข้าไปคว้ามีดปังตอซึ่งมีไว้สำหรับสับเนื้อออกมานอกร้านเห็นจำเลยที่ 3 วิ่งไล่นายวราชัยและเห็นจำเลยที่ 2ยืนถือมีดคุมอยู่ จำเลยที่ 1 วิ่งผ่านจำเลยที่ 2 แต่ผ่านไม่ได้จึงเกิดการต่อสู้กับจำเลยที่ 2 ระหว่างต่อสู้นายทองคำเข้ามาช่วยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย ความข้อนี้นางอัมภา วีระกุล ภรรยาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์ก็เบิกความเจือสมคำเบิกความของจำเลยที่ 1 และนายวราชัยว่าในวันเกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุจำเลยที่ 2และนางคำฮองภรรยาจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายก่อเหตุและหาเรื่องจำเลยที่ 1กับพวก คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และนายวราชัยที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำเป็นฝ่ายก่อเรื่องขึ้นก่อนจึงมีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟัง จำเลยที่ 1 มีสาเหตุทะเลาะชกต่อยกับจำเลยที่ 2 มาก่อน และได้ความว่าในวันเกิดเหตุระหว่างที่จำเลยที่ 2และนางคำฮองเลี้ยงสุราอาหาร จำเลยที่ 3 กับพวกที่บ้านของจำเลยที่ 2 ได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องที่จำเลยที่ 1 ทะเลาะชกต่อยกับจำเลยที่ 2 ด้วย โดยในหมู่ผู้หญิงที่ไปร่วมงานต่างก็พูดว่าถ้าตนเป็นผู้ชายเหมือนกันถูกทำเช่นนั้นจะไม่ยอมจะต้องแก้แค้นให้ได้ตามคำร้องเรียนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำต่อพนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี เอกสารหมาย จ.2 เห็นได้ว่าจากเหตุที่จำเลยที่ 1ทะเลาะชกต่อยกับจำเลยที่ 2 ก่อนวันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 และนางคำฮองยังเจ็บแค้นแล้วนำไปก่อเรื่องจนทำให้เกิดเหตุทำร้ายกันในเวลาต่อมา การที่จำเลยที่ 1 กับพวกทำร้ายจำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายทองคำได้รับอันตรายสาหัสดังกล่าว หาใช่เป็นการกระทำโดยสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กันไม่ แต่เป็นการกระทำที่จำเลยต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำพอสมควรแก่เหตุแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิด
พิพากษายืน

Share