คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2665/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยถูกฟ้องว่าพยายามฆ่าผู้อื่น ตอนแรกจำเลยให้การรับสารภาพ และไม่ต้องการทนาย ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยได้แต่งทนาย และยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิม ขอให้การใหม่ว่ามิได้กระทำผิด อ้างเหตุผลว่ารับสารภาพเพราะเข้าใจผิด และไม่ตรงต่อความจริงดังนี้ เป็นเหตุผลที่อาจเป็นไปได้ เพราะขณะจำเลยให้การรับสารภาพ จำเลยไม่มีทนายความต่อเมื่อได้ปรึกษาทนายความแล้ว จึงเกิดความเข้าใจถูกต้องในการต่อสู้คดี นับว่าเป็นเหตุอันควรเมื่อประกอบกับในคดีอาญา จำเลยย่อมมีสิทธิต่อสู้คดีได้เต็มที่ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165วรรคหนึ่ง ตามรูปคดีจึงสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การได้ เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การ และสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาลงโทษจำเลย จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายนายมัสมารินปาทานโดยเจตนาฆ่าซึ่งจำเลยกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลนายมัสมารินเพียงแต่ได้รับอันตรายแก่กาย ไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และขอให้ริบมีดของกลาง

ตอนแรกในวันที่ศาลประทับฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงดังฟ้อง ไม่ขอต่อสู้คดี และไม่ต้องการทนายความดังที่ศาลได้จดไว้ ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยแต่งทนายความพร้อมกับยื่นคำร้องว่า ตามที่ให้การรับสารภาพไว้ต่อศาลนั้น จำเลยได้เข้าใจผิดและไม่ตรงต่อความจริง จึงขอถอนคำให้การเดิม และขอให้การใหม่ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง ตามวันเวลาที่โจทก์ฟ้องนั้น นายมัสมารินเป็นฝ่ายก่อเหตุพาลหาเรื่องทะเลาะกับจำเลยก่อน ในที่สุดผู้เสียหายก็เข้าชกต่อยและบีบคอจำเลย จำเลยเป็นฝ่ายถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม และจำเลยไม่อาจหลีกเลี่ยงและหลบหนีได้ จำเลยจึงใช้มีดของกลางแกว่งไปมาเพื่อป้องกันตัวเพราะบันดาลโทสะ เพื่อให้ผู้เสียหายผละหนีผู้เสียหายไม่ยอมหนี มีดจึงถูกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยรักษาประมาณ 10 วันหาย จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า แม้เป็นความผิดก็ควรได้รับโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นบาดเจ็บเท่านั้น

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ยังไม่ปรากฏเหตุอันควรจะอนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การ แล้วสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยไปฝ่ายเดียวเสร็จ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี รับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษปรานีลดโทษให้ตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 ปี ริบมีดของกลาง

จำเลยอุทธรณ์ว่า มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นบาดเจ็บ

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบและเป็นผลร้ายแก่จำเลย พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยถอนคำให้การเดิม และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกาว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นการชอบแล้ว

ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องของจำเลยที่ขอถอนคำให้การเดิมขอให้การใหม่ว่ามิได้กระทำผิด มีผลเป็นการขอแก้คำให้การเดิมที่ให้การรับสารภาพ เป็นให้การปฏิเสธนั่นเองการขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรค 2ว่า “เมื่อมีเหตุอันควร จำเลยอาจยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การของเขาก่อนศาลพิพากษา ถ้าศาลเห็นสมควรอนุญาต ก็ให้ส่งสำเนาให้โจทก์” ที่จำเลยอ้างเหตุผลในการขอแก้คำให้การว่า ให้การรับสารภาพเพราะเข้าใจผิดและไม่ตรงต่อความจริง เป็นเหตุผลที่อาจเป็นไปได้ เพราะขณะจำเลยให้การรับสารภาพ จำเลยไม่มีทนายความต่อเมื่อได้ปรึกษาทนายความแล้ว จำเลยจึงเกิดความเข้าใจถูกต้องในการต่อสู้คดี นับว่าเป็นเหตุผลอันควร เมื่อประกอบกับในคดีอาญาจำเลยมีสิทธิต่อสู้คดีได้เต็มที่ จะให้การต่อสู้คดีอย่างไรหรือไม่ยอมให้การเลยก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรค 1 ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ตามรูปคดีสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การตามคำร้อง ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยแก้คำให้การ และสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาลงโทษจำเลย จึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share