แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาฐานฆ่าคนตายนั้นแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะฆ่า แต่โจทก์มีพยานประพฤติเหตุแวดล้อมกรณีและคำผู้ตายระบุไว้ในเวลาใกล้จะตาย ซึ่งรู้สึกตัวดีว่าจะต้องตายเป็นแน่แท้ และพฤติการณ์บ่งชัดว่าผู้ร้ายรายนี้เป็นจำเลยแล้ว ศาลก็ย่อมวินิจฉัยลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยทั้ง 2 สมคบกันยิงนายคำ หมื่นถาถึงแก่ความตายโดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย ขอให้ลงโทษ จำเลยทั้ง 2 ปฏิเสธอ้างฐานที่
คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะยิง อาศัยแต่พยานประพฤติเหตุแวดล้อมกรณีและคำผู้ตาย
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249จำคุกคนละ 15 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 2 ตามมาตรา 59 หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 10 ปี
จำเลยทั้ง 2 ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาคดีนี้แล้ว โจทก์นำสืบพยานได้เหตุผลแวดล้อม นับตั้งแต่จำเลยยืมปืนกับกระสุน 2 นัดของนางสาวบุญปั้น แล้วไปเรือนนางตา พบผู้ตาย ครั้นผู้ตายลงเรือนนางตาไปได้หน่อยก็ถูกยิงด้วยกระสุนปืนชนิดเดียวกับที่นางสาวบุญปั้นให้ยืม ผู้ตายระบุชื่อ จำเลยเอาปืนรอยยิงใหม่ ๆ กับกระสุนปืนที่เหลืออีก 1 นัด ไปคืนนางสาวบุญปั้น บอกให้รีบล้างปืนเสียจำเลยที่ 1 เป็นคนเกะกะมีสาเหตุกับบ้านนางตา ลาหน้าที่ทหารมาบ้านได้ไม่กี่วัน พอเกิดเหตุแล้วรุ่งขึ้นไปกำชับมิให้นายแสนแพร่งพรายและรีบกลับกองทหาร มีเหตุผลต่อเนื่องเชื่อมโยงกันตลอดสายทั้งก่อนและหลังกระชั้นชิดกับขณะที่เกิดเหตุ ประกอบด้วยคำผู้ตายระบุไว้ในเวลาใกล้จะตาย และรู้สึกตัวดีว่าจะต้องตายลงเป็นแน่แท้ ไม่เป็นโอกาสที่จะแกล้งปรักปรำให้ก่อเวรร้ายบาปกรรมติดตัวไปในปรโลกได้อีกแล้ว พฤติการณ์บ่งชัดว่า ผู้ร้ายรายนี้หาใช่ใครอื่น
จึงพิพากษายืน