แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บุตรผู้เยาว์ของโจทก์ถึงแก่ความตายโดยการละเมิดของจำเลยโจทก์ชอบที่จะได้รับค่าขาดไร้อุปการะทั้งในปัจจุบันและความหวังในอนาคตโดยผลแห่งกฎหมาย ไม่ต้องพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายได้อุปการะโจทก์จริงหรือไม่
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งพิจารณารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2508 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยที่ 3ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์กะบะบรรทุกดินลูกรังของจำเลยที่ 4 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขับรถดังกล่าวไปตามถนนด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขับชนกัน รถคันที่จำเลยที่ 2 ขับไปเสียหลักพุ่งเข้าชนรั้วบ้านและเสาเรือนของโจทก์สำนวนหลัง รั้วบ้านพังทลาย รถทับเด็กหญิงวณียาบุตรโจทก์สำนวนแรกได้รับอันตรายสาหัสและตายในวันนั้น และรถทับโจทก์สำนวนหลังได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายของโจทก์สำนวนแรก 51,127 บาท ของโจทก์สำนวนหลัง 76,055 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราเดียวกัน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ และใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความอย่างสูงแทนโจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ในหน้าที่นายท่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุแทนนายทัพ สิงหนันท์ ซึ่งมีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 โดยนายทัพ สิงหนันท์ ขอให้ขับแทน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ต่างฝ่ายต่างให้การว่ามิได้ขับรถโดยประมาท อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ขับรถโดยประมาท จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายของโจทก์สูงไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์สำนวนแรกรวม 11,250 บาท สำนวนหลังรวม 23,063 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทั้งสองสำนวนอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเสียค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายความสำนวนละ 500 บาทแทนโจทก์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ทั้งสองสำนวนในเรื่องค่าเสียหายและดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้แต่เฉพาะเรื่องดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์สำนวนแรกขาดไร้อุปการะ ให้จำเลยทั้งสี่เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ส่วนค่าสินไหมทดแทนทั้งสองสำนวนนอกจากนี้ เว้นแต่ค่าซ่อมรั้วบ้านและเสาของโจทก์สำนวนหลัง ให้จำเลยทั้งสี่เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง นอกจากที่แก้แล้วให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยที่ 3 ฎีกาเฉพาะเรื่องค่าสินไหมทดแทนทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรค 3บัญญัติว่า “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้น ทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” มาตรา 1535 บัญญัติว่า “บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา” จึงถือได้ว่าการที่เด็กหญิงวณียาตายลง ทำให้โจทก์ผู้เป็นบิดาต้องขาดไร้อุปการะจากผู้ตายตามกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทน ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าเด็กหญิงวณียาจะอุปการะโจทก์เมื่อแก่ชรา เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าที่เลื่อนลอยและห่างไกลนั้น เห็นว่าโจทก์ชอบที่จะได้รับค่าขาดไร้อุปการะทั้งในปัจจุบันและความหวังในอนาคตโดยผลแห่งกฎหมาย ไม่ต้องพิจารณาว่าขณะเกิดเหตุนี้ เด็กหญิงวณียาจะอุปการะโจทก์หรือไม่
พิพากษายืน