แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาซื้อที่ดินและตึกจาก ส. โดยโจทก์มิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และจำเลยไม่เคยบอกให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงไม่อาจคาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าว่าจำเลยจะเอาเงินค่าตอบแทนการโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยไปชำระให้ ส. เมื่อจำเลยถูก ส. ริบมัดจำ เพราะผิดสัญญากับ ส.เอง ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ และไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงจากการผิดสัญญาของโจทก์ ดังนี้ โจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะไม่ใช่ค่าเสียหายซึ่งตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 222 และไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายตามมาตรา 215 ทั้งไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตาม มาตรา 222 วรรคท้ายด้วย
โจทก์เสียค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ไม่ครบ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะต้องเรียกเพิ่มเติมเสียให้ถูกต้องต่อไปไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาไปแล้วสิ้นผลแต่ประการใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๑ จำเลยทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้โจทก์มีกำหนดเวลา ๑๒ ปี โดยโจทก์เสียค่าตอบแทนให้จำเลยเป็นเงิน ๑๙๒,๐๐๐ บาท โจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญา ๔๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ ๑๕๒,๐๐๐ บาท โจทก์จะชำระให้จำเลยภายใน ๒ เดือน นับแต่วันทำสัญญา ต่อมาปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๑ จำเลยแจ้งว่าไม่สามารถไปจดทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอได้เพราะที่ดินและตึกแถวติดจำนองธนาคาร ให้โจทก์ไปทำสัญญาเช่าที่บ้านจำเลยและไม่ยอมคืนเงินมัดจำ จึงขอให้บังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าตึกแถวดังกล่าวให้โจทก์ตามสัญญา ถ้าไม่สามารถจะจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ ก็ให้จำเลยคืนมัดจำและใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าได้ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกแถวตามฟ้องและรับเงินมัดจำ ๔๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์จริง แต่ไม่ได้ตกลงให้จำเลยไปจดทะเบียนสิทธิการเช่าเพียงแต่ตกลงกันให้เจ้าของตึกแถวทำสัญญาเช่าให้โจทก์ ๔ ฉบับกำหนดเวลาเช่าฉบับละ ๓ ปี โจทก์ผิดนัดไม่ชำระเงิน ๑๕๒,๐๐๐ บาท ตามสัญญาจำเลยชอบที่จะริบมัดจำ
เนื่องจากจำเลยจะต้องออกจากตึกแถวตามสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ จำเลยจึงไปทำหนังสือสัญญาซื้อขายอาคารและที่ดินจากนางสาวสุธีรา เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท วางมัดจำไว้ ๘๐,๐๐๐ บาท โดยเชื่อว่าเมื่อโจทก์ชำระเงินที่เหลือตามสัญญาแล้ว จำเลยจะได้เอาเงินนั้นไปชำระให้นางสาวสุธีรา แต่โจทก์ผิดนัดเป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถจะชำระเงินงวดต่อไปให้นางสาวสุธีรา นางสาวสุธีราจึงริบเงินมัดจำของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหายเมื่อหักกับเงินมัดจำที่โจทก์ชำระแก่จำเลยแล้ว จำเลยยังต้องเสียหายอีก ๔๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ขณะทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าตึกแถวโจทก์เชื่อว่าตึกแถวเป็นของจำเลย จำเลยปกปิดเรื่องกรรมสิทธิ์ สัญญาจึงเกิดขึ้นด้วยกลฉ้อฉลของจำเลย เป็นโมฆียะ โจทก์บอกกล่าวและฟ้องคดีแล้วถือว่าสัญญาเลิกกัน จำเลยต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์สัญญาระหว่างจำเลยกับนางสาวสุธีราไม่ผูกพันโจทก์ การผิดสัญญาไม่ใช่เป็นผลเกิดจากโจทก์โจทก์ไม่ต้องรับผิด จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลย ๔๐,๐๐๐ บาทตามฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่าให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ที่ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลยเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง โดยไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือให้จำเลยภายในกำหนดตามสัญญา จำเลยริบมัดจำของโจทก์ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกมัดจำคืน และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
ส่วนประเด็นค่าเสียหายตามฟ้องแย้งของจำเลยนั้น แม้จะฟังตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยได้ทำสัญญากับนางสาวสุธีราและจำเลยถูกริบมัดจำก็ตาม แต่ความเสียหายของจำเลยที่ถูกริบมัดจำนั้นเป็นเรื่องจำเลยผิดสัญญากับนางสาวสุธีราเอง ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงจากการผิดสัญญาของโจทก์ จึงไม่ใช่ค่าเสียหายซึ่งตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๒ วรรคแรก และไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายตามมาตรา ๒๑๕ ดังจำเลยอ้างหากจะเป็นได้ ก็คือค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ตามมาตรา ๒๒๒ วรรคท้ายแต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไปทำสัญญากับนางสาวสุธีราโดยโจทก์มิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยทั้งได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่าการทำสัญญากับนางสาวสุธีราไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ ดังนี้ โจทก์จึงไม่อาจคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้า ว่าจำเลยจะเอาเงินจากโจทก์ไปชำระให้นางสาวสุธีราที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยจะต้องออกจากห้องแถวพิพาท โจทก์ควรรู้ว่าจำเลยต้องใช้เงินในการหาที่อยู่ใหม่นั้น เห็นว่าจำเลยอาจมีที่อยู่ใหม่อยู่แล้วหรืออาจไปอาศัยใครอยู่โดยไม่ต้องทำสัญญากับนางสาวสุธีราก็ได้ การที่จำเลยจะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ควรรู้ล่วงหน้า ค่าเสียหายดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ให้จำเลยตามฟ้องแย้ง
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์เสียค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ไม่ครบ ซึ่งจำเลยได้โต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยประการใด นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จะต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ ๘๐,๐๐๐ บาทจริง แต่เมื่อศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ขาดไปก็เป็นเรื่องศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะต้องเรียกเพิ่มเติมเสียให้ถูกต้อง ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาไปแล้วสิ้นผลแต่ประการใด
พิพากษายืน