แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายฝากที่ดินและบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินให้โจทก์ กำหนดไถ่ภายในหนึ่งปี ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ไถ่ขอให้บังคับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านดังกล่าว จำเลยรับว่าขายฝากที่ดินและบ้านแก่โจทก์และครบกำหนดไถ่แล้วจริงแต่โจทก์ยินยอมให้จำเลยไถ่ที่ดินและบ้านได้ในภายหลัง จำเลยกำลังจะหาเงินมาไถ่ ดังนี้หากได้ความจริงตามคำให้การของจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวอาจเข้าลักษณะเป็นคำมั่นจะขายทรัพย์ซึ่งบังคับกันได้ มิใช่เป็นการขยายเวลาไถ่ทรัพย์อันต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 496 ศาลชั้นต้นควรสืบพยานฟังข้อเท็จจริงต่อไป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่ดินพร้อมบ้านไม้ไว้กับโจทก์กำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ไถ่ โจทก์แจ้งให้ออกไปจำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านดังกล่าว
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาขายฝากทรัพย์พิพาทให้โจทก์และล่วงเลยเวลาไถ่จริง แต่โจทก์ยินยอมให้จำเลยไถ่ได้ในภายหลัง ซึ่งจำเลยกำลังพยายามหาเงินไถ่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้เพียงประเด็นเดียวว่าข้อต่อสู้ของจำเลยตามคำให้การที่ว่า หลังจากสัญญาขายฝากครบกำหนดแล้ว โจทก์ยอมตกลงให้จำเลยไถ่ถอนทรัพย์พิพาทได้นั้น ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับได้ตามกฎหมายอันควรที่ศาลชั้นต้นจะสืบพยานฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนวินิจฉัยคดีหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าหากพิจารณาได้ความจริงตามคำให้การของจำเลยแล้วข้อตกลงดังกล่าวอาจเข้าลักษณะเป็นคำมั่นจะขายทรัพย์ซึ่งบังคับกันได้ เพราะการที่ผู้รับซื้อฝากยินยอมที่จะขายทรัพย์คืนให้แก่ผู้ขายฝาก เมื่อทรัพย์ที่ขายฝากได้หลุดเป็นสิทธิของผู้รับซื้อฝากแล้วเช่นนี้มิใช่เป็นการขยายเวลาไถ่ทรัพย์อันต้องห้ามตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 ดังนั้นจึงควรได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงในเรื่องนี้กันต่อไป คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.