แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาธนาคารจำเลยใช้ชื่อนิติบุคคลที่ไม่ได้มีการจดทะเบียนตามกฎหมายทำรายการซื้อตั๋วแลกเงินแทนลูกค้าบุคคลธรรมดา ใช้ชื่อนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายทำรายการซื้อตั๋วแลกเงินโดยผู้แทนนิติบุคคลนั้นไม่ได้รับทราบ เก็บตั๋วแลกเงินที่ขายให้ลูกค้าไว้โดยออกสมุดเงินฝากให้แทน ทำรายการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าเพื่อซื้อตั๋วแลกเงินโดยลูกค้าไม่ได้ลงนามในใบถอนเงิน และนำส่วนต่างดอกเบี้ยจากการลงทุนในตั๋วแลกเงินของลูกค้าบางรายฝากเข้าบัญชีกองกลางของสาขา แม้การกระทำดังกล่าวของโจทก์จะได้รับความยินยอมจากลูกค้า ไม่ปรากฏว่าโจทก์กระทำทุจริตต่อหน้าที่ และยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยก็ตาม แต่ก็อาจเป็นเหตุให้ลูกค้านำสมุดเงินฝากมาขอเบิกเงินจากจำเลยและจำเลยต้องจ่ายเงินให้ไป จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบทำงานของจำเลย เรื่อง วิธีปฏิบัติในการจำหน่ายตั๋วแลกเงิน ข้อ 2.2 ที่กำหนดให้สาขาออกคู่ฉบับใบลงรับมอบให้ลูกค้าไว้เป็นหลักฐาน เป็นกรณีร้ายแรง จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องตักเตือน และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน ๗๐,๐๐๙.๐๘ บาท และค่าชดเชยจำนวน ๓๕๐,๐๔๙ บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า ในการปฏิบัติงานโจทก์จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ระเบียบและคำสั่งของจำเลยโดยเคร่งครัดและสุจริต การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานเพราะโจทก์กระทำผิดระเบียบของจำเลยในการจำหน่ายตั๋วแลกเงิน อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือคำสั่งของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง และจำเลยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวโดยชอบแล้ว ปรากฏว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานและเหตุผลเพียงพอที่สามารถหักล้าง ข้อกล่าวหาของจำเลยได้ คณะกรรมการสอบสวนจึงมีความเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของโจทก์เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไม่เหมาะสมและปฏิบัติงานฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยในการจำหน่ายตั๋วแลกเงิน ซึ่งเป็นกรณีร้ายแรงส่งผลให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างมาก จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า การกระทำ ของจำเลยไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ จึงไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อันเป็นการเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๔) จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าเสียหาย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินจำนวน ๓๕๐,๐๔๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๓ อันเป็นวันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์ได้ฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยอันเป็นกรณีที่ร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยทำรายการซื้อตั๋วแลกเงินแทนลูกค้าบุคคลธรรมดา จากนั้นเก็บตั๋วแลกเงินที่ขายให้ลูกค้าไว้แล้วออกสมุดเงินฝากให้แก่ลูกค้าโดยที่ลูกค้ามิได้ฝากเงินไว้กับจำเลย เป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบการทำงานของจำเลย เรื่อง วิธีปฏิบัติในการจำหน่ายตั๋วแลกเงิน ซึ่งให้สาขาออกคู่ฉบับใบลงรับมอบให้ลูกค้าไว้เป็นหลักฐาน อาจเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายได้ เพราะหากลูกค้านำสมุดเงินฝากมาขอเบิกเงินจากจำเลย จำเลยอาจต้องรับผิดจ่ายเงินตามสมุดเงินฝากแก่ลูกค้า แม้ว่า การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจะยังไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่จำเลยเนื่องจากโจทก์กระทำไปโดยได้รับความยินยอมจากลูกค้าและเพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยที่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ก็ตาม ก็ต้องถือว่า การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรงแล้ว ส่วนที่ฝ่ายตรวจสอบ ของจำเลยทำการตรวจสอบกิจการสาขาศรีสะเกษทุกปี แต่ไม่มีข้อทักท้วงหรือตำหนิการกระทำของโจทก์แต่อย่างใดนั้น ก็เป็นกรณีการตรวจสอบเฉพาะเรื่องการจำหน่ายตั๋วแลกเงินให้แก่ลูกค้าซึ่งอ้างว่าเป็นนิติบุคคลแต่มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจริงเท่านั้น หาใช่กรณีตรวจสอบเรื่องที่โจทก์ออกสมุดเงินฝากให้ลูกค้ายึดถือแทนใบลงรับอันจะถือเป็นเหตุว่าจำเลยมิได้นับว่าการกระทำของโจทก์ในกรณีนี้มิใช่เป็นเรื่องร้ายแรงแต่อย่างใดไม่ จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องตักเตือนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๔) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด.