แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดิน 60-70 ไร่ โจทก์เพียงแต่เข้าไปตัดฟืนเผาถ่านเล็กน้อยเป็นครั้งคราว เอาโคเข้าไปเลี้ยง ไม่พอฟังเป็นสิทธิครอบครอง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยการครอบครอง ให้ขับไล่จำเลย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ผู้เป็นเจ้าของมีแต่สิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาทตามเส้นสีม่วงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินซึ่งทางราชการอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรีได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ดินพิพาทตามเส้นสีชมพูเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ทางราชการออกให้แก่จำเลยที่ 2 ขณะนี้จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ ตามฎีกาของจำเลย คงมีประเด็นมาสู่ศาลฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย และโจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรค 2แล้วหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วที่โจทก์อ้างว่าที่ดินพิพาททั้งตามเส้นสีม่วงและสีชมพูเป็นส่วนหนึ่งของที่ป่าซึ่งเดิมเป็นของนายเน่า นางสวิง นายเน่านางสวิงยกให้โจทก์นั้น ตามทางนำสืบของโจทก์ โจทก์ไม่มีเอกสารอันเป็นหลักฐานที่แสดงว่า นายเน่า นางสวิง หรือโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้แต่อย่างใด และไม่เคยเสียภาษี โจทก์คงมีแต่นางต่วน ทองมีศรี กับนางป่วนศรีเมือง พี่น้องของโจทก์มาเบิกความเป็นพยานเพียงว่า เมื่อนายเน่านางสวิงยกให้แล้ว โจทก์ก็ใช้เป็นที่ตัดฟืนเผาถ่านและเลี้ยงโคและในเรื่องการตัดฟืนเผาถ่านนี้ ตามคำเบิกความของโจทก์ นางต่วนและนางป่วนพยานโจทก์ก็ว่าโจทก์ทำแต่เฉพาะเอามาใช้ที่บ้าน ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าหากโจทก์จะได้เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงพิพาท ก็คงฟังได้เพียงว่าเข้าไปตัดฟันเผาถ่านเอามาใช้สอยเพียงเล็กน้อยเป็นครั้งคราวเท่านั้น เมื่อระลึกว่าที่ดินแปลงนี้ซึ่งตามที่โจทก์นำสืบว่าเป็นที่ป่ามีจำนวนเนื้อที่กว้างขวางถึงประมาณ 60-70 ไร่ การที่โจทก์เพียงแต่เคยเข้าไปตัดฟืนเผาถ่านเอามาใช้สอยเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นครั้งคราว และเคยเอาโคเข้าไปเลี้ยง จึงยังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้เข้าไปใช้สิทธิครอบครองหรือก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่โจทก์แต่อย่างใด สำหรับจำเลยซึ่งนำสืบถึงการที่ได้เข้าไปใช้สิทธิครอบครองที่ดินแปลงพิพาทนี้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อมาจากนายบัว หลอดทองแดง และจำเลยที่ 2ซื้อมาจากนางประดับ มั่นน้อยนั้น นอกจากจะมีนายบัวกับนางประดับมาเป็นพยานเบิกความยืนยันถึงความข้อนี้แล้ว ยังปรากฏต่อมาว่าหลังจากซื้อแล้วจำเลยทั้งสองก็ได้ดำเนินการยื่นเรื่องราวขอจับจองต่อทางอำเภออีกครั้งหนึ่งและเมื่อได้เข้าทำประโยชน์แล้วจำเลยก็ได้ขอให้ทางอำเภอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ มีนายประหยัด หมื่นชำนาญ กำนันตำบลอ่างหิน ซึ่งที่ดินแปลงพิพาทอยู่ในเขตปกครองกับนายเชิด หงษ์สมบูรณ์ พนักงานที่ดินอำเภอปากท่อผู้ร่วมกันไปตรวจสอบรังวัดที่ดินเพื่อออกใบจอง (น.ส.2) และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้จำเลยมาเบิกความเป็นพยานยืนยันได้ความว่า เมื่อไปทำการรังวัดตรวจสอบรังวัดที่ดินและปิดประกาศไว้ในที่ดินเพื่อออกใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยนั้น ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ทางอำเภอจึงได้ออกใบจองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย จำเลยมีทั้งพยานบุคคลและเอกสารแสดงให้เห็นว่า จำเลยได้เข้าไปครอบครองที่ดินแปลงพิพาทโดยถูกต้องตามขั้นตอนเป็นลำดับมา พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมั่นคงดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งในขณะนี้จำเลยก็เป็นผู้ใช้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ จึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีก ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 650 บาท”