แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยเคยเป็นความกันฟ้องขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้วโจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย โดยอ้างว่า จำเลยทำนาในนาพิพาทโดยไม่มีอำนาจเมื่อปรากฏว่าโจทก์มีทางที่จะเรียกค่าเสียหายที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แม้จะเกิดขึ้นต่อไปรวมไปในฟ้องโจทก์ในคดีก่อนได้อยู่แล้ว แต่โจทก์ไม่เรียกร้องเสียในคดีก่อนนั้นจะมาฟ้องเรียกภายหลัง ก็ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ (อ้างฎีกาที่ 799/2496)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงิน 5,250 บาทในฐานที่จำเลยเข้าไปทำนา ซึ่งเป็นของวัดนางขำ โดยไม่มีอำนาจ
จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในนาพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ได้ความว่า โจทก์จำเลยเป็นความกันในคดีก่อนขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นมรดกตกได้แก่วัดนางขำแม้ในคดีนี้จะเป็นเรื่องฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนก็ดี แต่ประเด็นที่จะต้องพิจารณาก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกัน คือจำเลยได้เข้าทำนาในที่ดินรายพิพาทของโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ กรณีต้องด้วยวรรคแรกของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 จึงเป็นฟ้องซ้ำตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 799/2496
จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง