แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หนี้ระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อลูกหนี้ได้ชำระหนี้มีการปลดหนี้การหักกลบลบหนี้ การแปลงหนี้ใหม่ หรือการที่หนี้เกลื่อนกลืนกัน ผู้ตายทำสัญญากู้เงินกับจำเลย 2 ครั้ง โดยผู้ตายยังชำระหนี้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วน และไม่ปรากฏเหตุอย่างอื่นที่จะทำให้หนี้เงินกู้ดังกล่าวระงับ หนี้เงินกู้ที่ผู้ตายจะต้องรับผิดต่อโจทก์จึงยังไม่ระงับ การจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์จึงยังไม่ระงับสิ้นไป
โจทก์รับโอนกิจการจากธนาคาร ม. มาเป็นของโจทก์ โจทก์จึงต้องรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่ของธนาคาร ม. เมื่อธนาคาร ม. เจ้าหนี้รู้ถึงการตายของผู้ตายตั้งแต่วันที่8 มีนาคม 2539 ต้องถือว่าโจทก์ได้รู้แล้วด้วย เมื่อนับถึงวันฟ้องวันที่ 28 มีนาคม 2543 เกินกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความและเป็นเหตุให้หนี้อุปกรณ์คือผู้ค้ำประกันที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้ต่อโจทก์หลุดพ้นไปด้วย แต่เนื่องจากสัญญากู้เงินรายนี้มีการนำทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันไว้ แม้หนี้สินตามสัญญากู้เงินอันเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ด้วยการรับโอนสิทธิมาจากเจ้าหนี้เดิมย่อมใช้สิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ตามบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสาม ประกอบมาตรา 193/27 และคงบังคับได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองเท่านั้น หาอาจบังคับถึงทรัพย์สินอื่นของผู้ตายได้ด้วยไม่ แม้สัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันจะมีข้อความระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ผู้รับโอนกิจการ สินทรัพย์ หนี้สินและสิทธิเรียกร้องจากธนาคารมหานครจำกัด (มหาชน) ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชำระหนี้แก่โจทก์ในเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,330,023.83 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระก็ขอให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 186973 และเลขที่ 187054 ตำบลไทรม้า (บางไซรม้า) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากขายแล้วไม่พอชำระหนี้ ก็ขอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งหกออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งหกให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ในฐานะทายาทของนางสุจิตรา กัมทรทิพย์ ผู้ตาย ชำระเงิน 2,003,985.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,330,023.83 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 มีนาคม2543) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งหกไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 186973 และเลขที่ 187054 ตำบลไทรม้า (บางไซรม้า) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ถ้าไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์มรดกของนางสุจิตรา กัมทรทิพย์ ผู้ตายออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งหกขออนุญาตอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “… พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกในประการแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะหนังสือสัญญาการโอนสินทรัพย์และหนี้สินระหว่างธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.16 ไม่ปิดอากรแสตมป์ โดยจำเลยทั้งหกอุทธรณ์อ้างว่าตามพระราชกำหนดและประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวได้ยกเว้นเฉพาะค่าธรรมเนียมและค่าภาษี เพื่อการโอนกิจการระหว่างสองธนาคารเท่านั้น ไม่ได้ระบุให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บค่าอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรด้วย เห็นว่า การโอนกิจการระหว่างโจทก์กับธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) เป็นการโอนตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 ซึ่งบทบัญญัติมาตรา 5 ได้บัญญัติให้เพิ่มข้อความเป็นมาตรา 38 เบญจ โดยในวรรค 4 กล่าวถึงการควบกิจการหรือโอนกิจการธนาคารว่าให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีอากรต่าง ๆ เมื่อกฎหมายไม่ได้ระบุว่ายกเว้นอากรประเภทใด จึงต้องแปลว่าเป็นการยกเว้นอากรทุกประเภท เมื่อโจทก์รับโอนกิจการของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) โดยอาศัยตามพระราชกำหนดฉบับนี้ หนังสือสัญญาการโอนสินทรัพย์และหนี้สินระหว่างสองธนาคารเอกสารหมาย จ.16 จึงหาจำต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรดังที่จำเลยทั้งหกอ้างไม่
ส่วนที่จำเลยทั้งหกอุทธรณ์ในประการต่อไปว่า การที่โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งแก่จำเลยทั้งหกขอให้ชำระหนี้ บอกกล่าวบังคับจำนอง และบอกเลิกสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.5 ทำให้สัญญากู้เงินที่ผู้ตายทำไว้ระงับสิ้นไป หนี้ประธานตามสัญญากู้เงินจึงระงับสิ้นไปด้วยเหตุอื่นอันมิใช่เหตุอายุความ คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386, 391 และ 392 การจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ก็ระงับสิ้นไปเช่นเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744(1)โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติให้หนี้ระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อลูกหนี้ได้ชำระหนี้ มีการปลดหนี้การหักกลบลบหนี้ การแปลงหนี้ใหม่หรือการที่หนี้เกลื่อนกลืนกัน เมื่อผู้ตายทำสัญญากู้เงินกับจำเลย 2 ครั้ง โดยผู้ตายยังชำระหนี้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วน และไม่ปรากฏเหตุอย่างอื่นที่จะทำให้หนี้เงินกู้ดังกล่าวระงับสิ้นไป หนี้เงินกู้ที่ผู้ตายจะต้องรับผิดต่อโจทก์จึงยังไม่ระงับ ดังนั้น การจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์จึงยังไม่ระงับสิ้นไปแต่อย่างใด อุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกในประการนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกในประการสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงยุติตามทางนำสืบของโจทก์กับจำเลยทั้งหกและคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่คู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2539 จำเลยที่ 6 ได้ไปติดต่อกับธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) สาขาสวนมะลิ ซึ่งเป็นสาขาเดียวกับที่ผู้ตายไปทำสัญญากู้เงินพิพาทต่อโจทก์ เพื่อขอเปลี่ยนชื่อเจ้าของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จากชื่อผู้ตายเป็นชื่อจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 6 จะมิได้แจ้งขอเปลี่ยนรายการลูกหนี้จากชื่อผู้ตายมาเป็นชื่อของจำเลยทั้งหกด้วยก็ตาม ถือว่าธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ได้รู้ถึงการตายของผู้ตายตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2539 และวันที่ 13 ตุลาคม 2541 ได้มีการโอนกิจการของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) มาเป็นของโจทก์ หลังจากนั้นวันที่ 28 มิถุนายน 2542 ทนายโจทก์ได้ตรวจสอบทางทะเบียนบ้านของผู้ตาย ทำให้โจทก์ทราบเรื่องที่ผู้ตายถึงแก่ความตาย คดีจึงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า การที่ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ได้ทราบเรื่องผู้ตายถึงแก่ความตายตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2539 และต่อมาได้มีการโอนกิจการของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ไปเป็นของโจทก์แล้วจะถือว่าโจทก์ได้ทราบเรื่องที่ผู้ตายได้ถึงแก่ความตายตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2539 ด้วยหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์กับธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) จะเป็นคนละนิติบุคคลกันก็ตาม แต่โจทก์รับโอนกิจการจากธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) มาเป็นของโจทก์ โจทก์จึงต้องรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่ของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) เมื่อธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้รู้ถึงการตายของผู้ตายแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2539 จึงต้องถือว่าโจทก์ได้รู้แล้วด้วยเมื่อนับถึงวันฟ้องวันที่ 28 มีนาคม 2543 จึงเกินกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความและเป็นเหตุให้หนี้อุปกรณ์คือผู้ค้ำประกันที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้ต่อโจทก์หลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วย อย่างไรก็ดีเนื่องจากสัญญากู้เงินรายนี้มีการนำทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันไว้ด้วย ดังนี้ แม้หนี้สินตามสัญญากู้เงินอันเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ด้วยการรับโอนสิทธิมาจากเจ้าหนี้เดิมย่อมใช้สิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินที่จำนองได้ทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม ประกอบมาตรา 193/27 และคงบังคับได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำนองเท่านั้น หาอาจบังคับถึงทรัพย์สินอื่นของผู้ตายได้ด้วยไม่ แม้สัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.22 และ จ.23 จะมีข้อความระบุให้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ในกรณีที่ทรัพย์สินที่จำนองไม่พอชำระหนี้ก็ตาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยบางส่วน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งหกในฐานะทายาทโดยธรรมของนางสุจิตรา กัมทรทิพย์ รับผิดชำระเงินจำนวน 2,003,985.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.50ต่อปี ของต้นเงิน 1,330,023.83 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 มีนาคม 2543)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระ ให้ยึดเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 186973 และเลขที่ 187054 ตำบลไทรม้า (บางไซรม้า) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น