คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(3) จำเลยร่วมจึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่สามารถยกข้อต่อสู้ขึ้นปฏิเสธความรับผิดได้อย่างไม่มีจำกัด และศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาถึงความรับผิดของคู่ความทุกฝ่ายไปได้ในคราวเดียวกันโดยไม่จำต้องให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยร่วมเป็นคดีเรื่องใหม่ เมื่อจำเลยร่วมมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีรถยนต์สูญหายแก่โจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ได้ไม่ถือว่าเกินคำขอของโจทก์
กรมธรรม์ประกันภัยระบุว่าในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ เมื่อรถยนต์ถูกภ. ลักไปโดยจำเลยที่1 ผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนรู้เห็นด้วย แม้จำเลยที่1 จะทราบว่าภ. นำรถยนต์ไปจำนำไว้ที่บ่อนย่านคลองตัน เมื่อจำเลยที่1 ไม่สามารถนำรถยนต์กลับคืนมาได้ ย่อมถือได้ว่ารถยนต์ได้สูญหายไปโดยเหตุเนื่องจากการลักทรัพย์ตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๔ศ-๗๑๑๕ กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์ในราคาค่าเช่าซื้อ ๓๙๕,๙๓๒.๒๐ บาท มีจำเลยที่๒ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ภายหลังทำสัญญาจำเลยที่๑ ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่๖ เป็นต้นมา โจทก์บอกเลิกสัญญา แต่จำเลยที่๑ไม่ส่งมอบรถยนต์คืน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๓๔๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๙๑,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ ๑๓,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนพร้อมเบี้ยปรับอัตราร้อยละ๒ ต่อเดือนของต้นเงิน ๔๓๑,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่๑ให้การว่า จำเลยที่๑ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ได้ ๕ งวด ปรากฏว่ารถยนต์คันพิพากษาได้สูญหายไป โดยมิได้เกิดจากความผิดของจำเลยที่๑ จำเลยที่๑ คงรับผิดเพียงเท่าค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระจำนวน ๒๖๐,๐๐๐ บาทเศษเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์และเบี้ยปรับอัตราร้อยละ๒ ต่อเดือน ค่าเสียหายหากจะมีก็คือดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำเลยที่๑ ได้ทำประกันภัยรถยนต์กันพิพาทและได้แจ้งเบาะแสเรื่องรถยนต์คันพิพาทสูญหายให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉยไม่เรียกร้องเอาจากผู้รับประกันภัยและไม่ติดตามเอารถยนต์คืน ความเสียหายจึงเกิด่จากความผิดของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่๑ ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพราะจำเลยที่๑ อาจฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือใช้ค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๗(๓) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันพิพาทโดยมีจำเลยที่๑ เป็นผู้เอาประกันภัย โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน จำเลยร่วมเป็นบุคคลภายนอกไม่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมธรรม์ประกันภัยระบุว่าจำเลยร่วมจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยที่๑ผู้เอาประกันภัยเท่านั้น รถยนต์คันพิพาทนั้นจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้บุคคลผู้มีชื่อนำไปใช้ แต่บุคคลผู้มีชื่อยังไม่ได้นำมาคืนเท่านั้นหาได้สูญหายไปไม่ จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดและตามคำให้การของจำเลยที่๑ ระบุว่ารถยนต์คันพิพาทสูญหายไปโดยมิใช่ความผิดของจำเลยที่๑ จำเลยที่๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นผลให้จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย เนื่องจากจำเลยร่วมจะรับผิดต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้องและยกคำร้องของจำเลยที่๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่๑ และที่๒ ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำวน ๒๗๓,๗๕๓ บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่๑ และที่๒ ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนก็ให้จำเลยร่วมเป็นผู้ชำระแทน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยร่วมฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องหรือขอให้บังคับจำเลยร่วมร่วมกับจำเลยที่๑ที่๒ รับผิดต่อโจทก์ จำเลยร่วมไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่๑ ผู้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทและจำเลยที่๒ ผู้ค้ำประกันร่วมกันรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ จำเลยที่๑ให้การต่อสู้คดีว่ารถยนต์คันพิพาทสูญหายไปโดยมิได้เกิดจากความผิดของจำเลยที่๑ จำเลยที่๑ได้เอาประกันวินาศภัยรถยนต์คันพิพาทไว้กับจำเลยร่วมซึ่งจำเลยร่วมมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีรถยนต์คันพิพาทสูญหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่๑ได้ขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่บุคคลอาจเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้นอกเหนือจากการเป็นคู่ความนับแต่เริ่มต้นตามคดีตามปกติ ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีเป็นจำเลยร่วมตามคำขอของจำเลยที่๑ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา๕๗(๓) จำเลยร่วมจึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ จำเลยร่วมสามารถยกข้อต่อสู้ของตนขึ้นปฏิเสธความรับผิดต่อโจทก์และจำเลยที่๑ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด และศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาถึงความรับผิดของคู่ความทุกฝ่ายในคดีไปได้ในคราวเดียวกัน โดยไม่จำต้องให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยร่วมเป็นคดีเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้น เมื่อศาลเห็นว่าตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยร่วมมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีรถยนต์สูญหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์ได้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ถือว่าเกินคำขอของโจทก์ ฎีกาของจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยร่วมฎีกาข้อต่อมาว่า รถยนต์คันพิพาทไม่ได้สูญหายเนื่องจากนางภัทรวีร์ บุญนาค ภริยาของนายวัชรชัย อึ๊งโพธิ์ นำไปจำนำไว้ที่บ่อนการพนัน จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย สำหรับปัญหาดังกล่าวนายวัชรชัย อึ๊งโพธิ์น้องจำเลยที่๑เบิกความเป็นพยานจำเลยที่๑ว่าพยานดูแลและใช้สอยรถยนต์ คันพิพาทในช่วงเวลาที่จำเลยที่๑เดินทางไปต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๘ ขณะที่พยานพักอยู่กับนางภัทรวีร์ บุญนาค ภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสปรากฎว่ารถยนต์คันพิพาทได้สูญหายไปพร้อมกุญแจ พยานได้ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่านางภัทรวีร์เป็นผู้ลักรถยนต์ นายทวีศักดิ์ พงษ์พิเดช พนักงานติดตามรถยนต์ของจำเลยร่วมเบิกความเจือสมพยานจำเลยที่ ๑ ว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๓๘ พยานได้รับแจ้งจากนายวัชรชัยว่านางภัทรวีร์ภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายวัชรชัย ได้ลักรถยนต์ของจำเลยที่๑ ซึ่งนายวัชรชัยรับดูแลรักษาไปและนำไปจำนำไว้ที่บ่อนการพนัน พยานได้บันทึกถ้อยคำของนายวัชรชัยไว้ ต่อมาพยานติดตามไปที่บ่อนการพนันพบว่า รถยนต์คันพิพาทจำนำไว้ที่บ่อนการพนันจริง ซึ่งในบันทึกที่นายวัชรชัยให้ถ้อยคำไว้ต่อจำเลยร่วมมีใจความว่าในระหว่างที่นายวัชรชัยรับดูแลรักษารถยนต์ของจำเลยที่๑ ปรากฎว่านางภัทรวีร์ภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสของนายวัชรชัยได้ลักรถยนต์คันพิพาทไปจำนำที่บ่อนคลองตัน และนำเงินไปเล่นการพนันจนหมด จากคำของพยานประกอบบันทึกเอกสารดังกล่าวข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านางภัทรวีร์ ได้ลักรถยนต์คันพิพาทไปจำนำที่บ่อนการพนันโดยจำเลยที่๑ และนายวัชรชัยมิได้มีส่วนรู้เห็นด้วย มีปัญหาว่าจำเลยร่วม ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่าตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยระบุว่าจำเลยที่๑ เป็นผู้เอา ประกันภัยรถยนต์คันพิพาทโดยมีโจทก์เป็นผู้รับประโชยน์ ในสัญญาหมวดที่๓ การคุ้มครองความเสียหาย ต่อรถยนต์ ระบุไว้ในข้อ ๓.๕.๓ ว่าในกรณีรถยนต์สูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ จำเลยร่วม จะจ่าย ค่าสินไหมทดแทนเต็มตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิดตามสัญญาข้อ ๓.๑ ในรายการ ๔ ของตาราง เมื่อได้ความว่า รถยนต์คันพิพาทถูกนางภัทรวีร์ลักไปโดยจำเลยที่๑มิได้มีส่วนรู้เห็นด้วย แม้จำเลยที่๑ จะทราบว่านางภัทรวีร์ นำรถยนต์ คันพิพาทไปจำนำไว้ที่บ่อนย่านคลองตัน แต่เมื่อจำเลยที่๑ไม่สามารถนำรถยนต์คันพิพาทกลับคืนมาได้ ย่อมถือได้ว่า รถยนต์คันพิพาทได้สูญหายไปโดยเหตุอันเนื่องจากการลักทรัพย์ตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระจึงชอบแล้ว ฎีกาของ จำเลยร่วมในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

นางสุรีพร อัชฌานนท์ ผู้ช่วยฯ
ร.ท.นิตินาถ บุญมา ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นางอัปษร หิรัญบูรณะ ผู้ช่วยฯตรวจ

Share