คำสั่งคำร้องที่ 2722/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ส่วนข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) คงพิพากษา ลงโทษ เพียงแต่กำหนดโทษให้น้อยลงแต่ไม่เกิน 5 ปี ข้อหา ดังกล่าวจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยเป็น ฎีกาโต้แย้งดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
นางสาวอำนวยพรตัณศิลา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365,393 และ 297(8) การกระทำของจำเลยเป็น การกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) อันเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365,297(8) การกระทำของจำเลยเป็น การกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 2 ปี
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 66 แผ่นที่ 2)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67 แผ่นที่ 2)

คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่จำเลยฎีกาว่าตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมนั้นโจทก์ร่วมซึ่งถูกจำเลยทำร้ายมีอาการทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยด้วยทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือประกอบกรณียกิจไม่ได้เกิน20 วัน ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมรับฟังได้เพียงว่าเป็นการทำร้ายร่างกายธรรมดานั้น เป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share