แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาจะยื่นเวลาใดก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ได้ ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตหรือมิอนุญาตให้ถอนก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด…” เท่ากับให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้ถอนฟ้องด้วยวิธีใดแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาขอถอนฟ้องไว้เป็นหนังสือแล้ว โดยไม่ได้สั่งให้โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเข้ามาอีก และมีการบันทึกไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงถือเป็นดุลพินิจที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 35 วรรคหนึ่ง แล้ว
โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันในคดีแพ่งของศาลชั้นต้น ว่าหากจำเลยคดีนี้ยอมไปสาบานตนด้วยถ้อยคำที่ตกลงกันถือว่าโจทก์คดีนี้แพ้ โจทก์ยินยอมถอนฎีกาและยินยอมจ่ายเงินจำนวน 175,000 บาท แก่จำเลย และขอแสดงเจตนาถอนฟ้องคดีอาญาที่ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ส่วนจำเลยขอไม่ติดใจบังคับคดีตามคำพิพากษา หากจำเลยคดีนี้ไม่ไปสาบานตน จำเลยขอยอมรับข้อเท็จจริงตามคำให้การในคดีแพ่งและขอให้ศาลฎีกาพิพากษาต่อไป ทั้งขอถือเป็นการแสดงเจตนาถอนฟ้องและถอนอุทธรณ์ในคดีอาญาที่ได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย แต่โจทก์คดีนี้ต้องนำเงินจำนวน 175,000 บาท มาวางศาลภายในวันที่ 3 เมษายน 2558 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้นำเงินจำนวน 175,000 บาท มาวางศาล โจทก์จึงแพ้คดีตามคำท้า อันมีผลเท่ากับโจทก์แสดงเจตนาถอนฟ้องคดีนี้ตามคำท้า การขอถอนฟ้องคดีนี้แม้จะเป็นผลประการหนึ่งอันสืบเนื่องมาจากข้อตกลงหรือการท้ากันในคดีแพ่งก็ตาม ก็หาได้ถือว่าเป็นการท้ากันในคดีอาญานี้ไม่ ดังนั้น เมื่อเป็นการขอถอนฟ้องก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่คัดค้านการถอนฟ้อง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง กับจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2558 โจทก์กับจำเลยแถลงร่วมกันว่ามูลคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2557 ของศาลชั้นต้น โจทก์กับจำเลยตกลงท้ากันในคดีแพ่งดังกล่าว
ขอเลื่อนคดีเพื่อรอฟังผลการท้ากันดังกล่าว เนื่องจากผลของการท้าอาจทำให้โจทก์ถอนฟ้องคดีนี้
ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เลื่อนคดีนี้ไปนัดพร้อมเพื่อรอฟังผลการท้าในวันที่ 20 เมษายน 2558 เวลา 13.30 นาฬิกา ในวันเดียวกันนั้นโจทก์กับจำเลยตกลงท้ากันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2557 ความว่า หากจำเลยคดีนี้ยอมไปสาบานต่อหน้าพระแก้วมรกตด้วยถ้อยคำตามที่ตกลงกัน ถือว่าโจทก์คดีนี้แพ้ โจทก์ยินยอมถอนฎีกาและยินยอมจ่ายเงินจำนวน 175,000 บาท แก่จำเลย และขอแสดงเจตนาถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1601/2557 ที่ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ส่วนจำเลยคดีนี้ไม่ติดใจบังคับคดีตาม
คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ หากจำเลยคดีนี้ไม่ไปสาบานตนตามถ้อยคำดังกล่าวในวันและเวลาที่กำหนด จำเลยขอยอมรับข้อเท็จจริงตามคำให้การในคดีแพ่งดังกล่าวและขอให้ศาลฎีกาพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ทั้งจำเลยคดีนี้ขอถือเอาการที่จำเลยไม่ยอมไปสาบานตามวันและเวลาด้วยถ้อยคำที่กำหนดเป็นการแสดงเจตนาขอถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 670/2557 และหมายเลขดำที่ 3292/2557 ที่ได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้น ส่วนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 670/2557 ที่จำเลยคดีนี้ได้ยื่นอุทธรณ์เอาไว้ ขอให้ถือว่าจำเลยถอนอุทธรณ์ดังกล่าวด้วย แต่โจทก์คดีนี้จะต้องนำเงินจำนวน 175,000 บาท มาวางศาลภายใน 12.00 นาฬิกา ของวันที่ 3 เมษายน 2558 หากไม่นำเงินมาวางภายในกำหนด ถือว่าโจทก์คดีนี้แพ้และยินยอมให้บังคับตามข้อตกลงข้อแรก ศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2557 เห็นว่า ข้อความที่คู่ความท้ากันไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งยังทำให้คดีดังกล่าวและคดีอื่น ๆ ยุติไปตามคำท้า จึงอนุญาตให้ดำเนินการไปตามความประสงค์ของคู่ความ ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2557 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2558 ซึ่งรวมอยู่ในสำนวนคดีนี้ และนัดพร้อมเพื่อฟังผลการท้าในวันที่ 20 เมษายน 2558 เวลา 13 นาฬิกา
ในวันนัดพร้อมวันที่ 20 เมษายน 2558 โจทก์ยื่นคำร้องอ้างว่า จำเลยผิดเงื่อนไขในการสาบานโดยจำเลยไม่ไปที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามตามกำหนดเวลา 13.00 ถึง 14.00 นาฬิกา จำเลยจึงเป็นฝ่ายแพ้คดีต้องปฏิบัติตามคำท้า ตามคำร้องชี้แจงข้อเท็จจริง ลงวันที่ 20 เมษายน 2558 แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่า เนื่องจากคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2557 ของศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวแพ้คดีตามคำท้าข้อที่ 3 เนื่องจากมิได้นำเงินจำนวน 175,000 บาท มาวางศาลภายในเวลา 12 นาฬิกา ของวันที่ 3 เมษายน 2558 ตามที่ตกลงกัน ซึ่งโจทก์คือจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าวแถลงว่า หากเป็นฝ่ายแพ้จะยินยอมให้บังคับตามข้อตกลงในข้อ 1 อันมีผลเท่ากับโจทก์แสดงเจตนาถอนฟ้องคดีนี้ตามคำท้าข้อ 1 เมื่อถือว่าโจทก์ถอนฟ้องและจำเลยไม่คัดค้าน จึงให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยวันที่ 30 มีนาคม 2558 โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันว่า โจทก์กับจำเลยตกลงท้ากันในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ม. 758/2556 หมายเลขแดงที่ 211/2557 ของศาลชั้นต้นเนื่องจากผลการท้าอาจทำให้โจทก์ถอนฟ้องคดีนี้ จึงขอเลื่อนคดีเพื่อรอฟังผลการท้ากันดังกล่าวในวันที่ 20 เมษายน 2558 และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 20 เมษายน 2558 มีว่า “เนื่องจากคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ม. 758/2556 หมายเลขแดงที่ 211/2557 ของศาลนี้ ศาลวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวแพ้ตามคำท้าข้อที่ 3 เนื่องจากมิได้นำเงิน 175,000 บาท มาวางศาลภายใน 12 นาฬิกา ของวันที่ 3 เมษายน 2558 ตามที่ตกลงกัน ซึ่งโจทก์คือจำเลยในคดีดังกล่าวแถลงว่า หากเป็นฝ่ายแพ้จะยินยอมให้บังคับตามข้อตกลงในข้อ 1 อันมีผลเท่ากับโจทก์แสดงเจตนาถอนฟ้องคดีนี้ตามคำท้าข้อ 1 ในรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2558 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2557 และเมื่อถือว่าโจทก์ถอนฟ้องและจำเลยไม่ค้าน จึงให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ” โดยศาลชั้นต้นถ่ายสำเนารายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2558 และฉบับลงวันที่เดียวกันของคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 211/2557 ของศาลชั้นต้นแนบไว้ด้วย เมื่อโจทก์ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านเท่ากับยอมรับว่ามีข้อตกลงกันและได้แสดงเจตนาที่จะถอนฟ้องคดีนี้ตามเงื่อนไขในคดีแพ่งดังกล่าว ปัญหาว่าโจทก์จะต้องทำคำร้องขอถอนฟ้องเป็นหนังสือมายื่นต่อศาลหรือไม่ เห็นว่า การถอนฟ้องคดีอาญาหาจำเป็นต้องทำคำร้องขอเป็นหนังสือมายื่นต่อศาลแต่เพียงวิธีเดียวไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาจะยื่นเวลาใดก่อนมีคำพิพากษาของ
ศาลชั้นต้นก็ได้ ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตหรือมิอนุญาตให้ถอนก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด…” เท่ากับให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้ถอนฟ้องด้วยวิธีใดแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาขอถอนฟ้องไว้เป็นหนังสือแล้ว โดยไม่ได้สั่งให้โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเข้ามาอีก และมีการบันทึกไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงถือเป็นดุลพินิจ
ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง แล้ว
ส่วนปัญหาว่าคำท้าในคดีแพ่งดังกล่าวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 หรือโจทก์กับจำเลยได้ปฏิบัติตามคำท้านี้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ชอบจะว่ากันในคดีแพ่งดังกล่าว ทั้งเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่ใช้อยู่ในขณะยื่นฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย นอกจากนี้การขอถอนฟ้องคดีนี้แม้จะเป็นผลประการหนึ่งอันสืบเนื่องมาจากข้อตกลงหรือการท้ากันในคดีแพ่งดังกล่าวก็ตาม ก็หาได้ถือว่าเป็นการท้ากันในคดีอาญานี้ไม่ ดังนั้น เมื่อเป็นการขอถอนฟ้องก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่คัดค้านการถอนฟ้อง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง กับจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน