คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1981/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ.1239 นั้น ได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์รวบรวมข้อบัญญัติต่างๆ ในทางแพ่งทั้งหมดขึ้นใช้บังคับแล้ว และตามมาตรา 656 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวก็ได้บัญญัติคุ้มครองมิให้เอาของชำระหนี้แทนเงินด้วยการคิดราคาของต่ำกว่าราคาท้องตลาดนั้นอยู่แล้ว ประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ.1239 จึงเป็นอันถูกยกเลิกไม่ใช้บังคับต่อไป
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตกลงจะขายข้าวเปลือกแก่โจทก์และได้รับเงินไปแล้วโดยได้ทำสัญญารับฝากข้าวเปลือกไว้ ถึงหากจะฟังว่าสัญญารับฝากข้าวเปลือกเป็นนิติกรรมอำพราง โจทก์ก็ขอให้บังคับตามสัญญาจะซื้อขายได้
ตกลงซื้อข้าวเปลือกราคาหนึ่ง และมีข้อสัญญาว่า หากผู้ขายไม่ส่งมอบตามกำหนดจะต้องใช้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นเป็นอีกราคาหนึ่ง ย่อมมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับฐานผิดสัญญา หากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนที่พอสมควรได้
(ปัญหาตามวรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่28/2511)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ จำเลยตกลงจะขายข้าวเปลือกให้โจทก์ ๓๐๐ ถัง ราคาถังละ ๘ บาท เป็นเงิน ๒,๔๐๐ บาทและได้รับเงินไปแล้ว สัญญาจะส่งมอบข้าวเปลือกไม่เกินวันที่ ๒๘กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ หากผิดสัญญา ยอมใช้ราคาให้โจทก์ถังละ ๑๕ บาท จำเลยได้ทำสัญญารับฝากข้าวเปลือกไว้ จำเลยผิดสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ราคาข้าวเปลือกเป็นเงิน ๔,๕๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่เคยตกลงขายข้าวเปลือกให้โจทก์ แต่จำเลยกู้เงินโจทก์ ๕๐๐ บาท สัญญาจะใช้ด้วยข้าวเปลือก ๑๐๐ ถัง ซึ่งเรียกว่าตกข้าว โจทก์ให้จำเลยเซ็นชื่อไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่ง จะใช่สัญญารับฝากข้าวหรือไม่ไม่ทราบ ในวันทำสัญญาไม่มีการฝากข้าวสัญญารับฝากข้าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันนัดพร้อม จำเลยรับว่า ได้ทำสัญญาให้โจทก์ไว้จริง ขอผัดใช้เงินไป ๑ ปีโจทก์แถลงว่า ขอคิดเอาเพียง ๓,๐๐๐ บาท และยอมให้ผัด๒ เดือน จำเลยว่าหาเงินไม่ทันนอกจากนี้จำเลยว่าไม่มีอะไรจะแถลงอีก
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่มีประเด็นอะไรที่จะพิจารณาอีก แล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นการหลีกเลี่ยงข้อห้ามเรื่องประกาศห้ามตกทอดข้าวแก่ชาวนาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จะเรียกร้องให้ชำระหนี้และบังคับคดีมิได้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ราคาข้าวเปลือกแก่โจทก์เป็นเงิน ๔,๕๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องและคำรับของจำเลยในภายหลังฟังได้ว่าจำเลยได้ตกลงจะขายข้าวเปลือกให้โจทก์ ๓๐๐ ถัง ๆ ละ ๘ บาทเป็นเงิน ๒,๔๐๐ บาท จำเลยได้รับเงินแล้ว กำหนดส่งมอบข้าวเปลือกให้ไม่เกินวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ โดยทำหนังสือสัญญารับฝากข้าวเปลือกไว้ หากไม่ส่งมอบตามกำหนด จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเงินถังละ ๑๕ บาท
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของโจทก์ต้องด้วยประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนา จ.ศ.๑๒๓๙ ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้นั้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ณ บัดนี้ได้มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่รวบรวมข้อบัญญัติต่าง ๆ ในทางแพ่งทั้งหมดขึ้นใช้บังคับแล้ว และข้อบัญญัติที่ว่าไว้ในมาตรา ๖๕๖ แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวก็ได้บัญญัติคุ้มครองมิให้เอาของชำระหนี้แทนเงินด้วยการคิดราคาของต่ำกว่าราคาท้องตลาดนั้นอยู่แล้ว ในขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญารายที่ฟ้องนี้ ประกาศห้ามมิให้ตกข้าวแก่ชาวนาจ.ศ.๑๒๓๙ นั้น ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ฎีกาจำเลยเป็นอันตกไป
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาฝากทรัพย์ตามฟ้องใช้บังคับไม่ได้เพราะเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เท่าที่โจทก์บรรยายฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์ขอบังคับเอาตามสัญญาจะซื้อขายอยู่ด้วยประการหนึ่งหาใช่ฟ้องขอบังคับเอาเพียงตามสัญญารับฝากข้าวเท่านั้นไม่หากจะถือว่าสัญญารับฝากข้าวไม่มีผลบังคับ ก็ไม่กระทบกระเทือนต่อการที่โจทก์จะเรียกเอาค่าเสียหายตามสัญญาจะซื้อขายที่ได้ทำกันไว้
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อสัญญาที่ว่า ถ้าจำเลยไม่ส่งข้าวเปลือก๓๐๐ ถังให้โจทก์ภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ แล้ว จำเลยยอมคิดเป็นเงินสดให้แก่โจทก์ถังละ ๑๕บาท รวมเป็นเงิน ๔,๕๐๐ บาทนั้นก็คือจำเลยสัญญาให้เบี้ยปรับในฐานผิดสัญญาจะซื้อขายนั่นเอง ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับลงมาได้ตามสมควร และเห็นสมควรลดเบี้ยปรับเหลือเพียง ๖๐๐ บาท
พิพากษาแก้ให้จำเลยให้เงิน ๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ (คือต้นเงิน ๒,๔๐๐ บาท และเบี้ยปรับ ๖๐๐ บาท)

Share