แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยโดยเสน่หา โดยโจทก์ยังคงมีสิทธิเก็บกินในที่ดินที่ยกให้นั้น ถือได้ว่าเป็นการให้ทรัพย์สินแก่จำเลยโดยมีค่าภาระติดพัน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณตามป.พ.พ. มาตรา 535 ได้ และหากโจทก์ถูกจำเลยรบกวนสิทธิเก็บกิน โจทก์สามารถใช้สิทธิทางศาลบังคับจำเลยไม่ให้ขัดขวางการใช้สิทธิเก็บกินของโจทก์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องถอนคืนการให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๓๙ และส่งมอบที่ดินที่อยู่ในแนวครอบครองเดียวกันกับที่ดินดังกล่าว รวมเนื้อที่ ๑๘ ไร่ คืนแก่โจทก์ หากจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์ไปจัดการจดทะเบียนโอนต่อไปโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการจดทะเบียนโอนทั้งสิ้น หากจำเลยไม่สามารถโอนและส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงได้ ให้ชดใช้เงินแทน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลเป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์โอนที่ดินจำนวน ๒ แปลง ให้แก่จำเลยในคราวเดียวกันโดยที่ดินแปลงแรกเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) เลขที่ ๓๙ เนื้อที่ ๘ ไร่ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา โจทก์ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และจำเลยยอมจดทะเบียนให้โจทก์มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต ส่วนที่ดินแปลงที่สอง เป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ซึ่งมีเขตติดต่อกัน โจทก์โอนให้แก่จำเลยโดยการส่งมอบการครอบครองพร้อมกับที่ดินแปลงแรก มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิถอนคืนการให้ที่ดินทั้งสองแปลงเพราะเหตุเนรคุณหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ยกที่ดินพิพาทแก่จำเลยโดยเสน่หา โดยจดทะเบียนสิทธิเก็บกินในที่ดินตลอดชีวิต แต่จำเลยเนรคุณข่มขู่โจทก์ ไม่ให้โจทก์เข้าไปเก็บกินหรือทำประโยชน์ใด ๆ ในที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิขอถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทได้นั้น เห็นว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๓๕ บัญญัติว่า การให้อันจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าจะถอนคืนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ คือ (๑)
(๒) ให้สิ่งที่มีค่าภารติดพัน
(๓)
การที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ยก ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยโดยเสน่หา โดยโจทก์ยังคงมีสิทธิเก็บกินในที่ดินที่ยกให้นั้น หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ฎีกา ย่อมถือได้ว่าเป็นการให้ทรัพย์สินแก่จำเลยโดยมีค่าภารติดพัน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ถอนคืน การให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเนรคุณ ไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปเก็บกินในที่ดินพิพาท หากโจทก์ถอนคืนการให้ไม่ได้ย่อมไม่เป็นธรรม และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น เห็นว่า เป็นความเข้าใจของโจทก์เอง ซึ่งไม่อาจลบล้าง บทบัญญัติของกฎหมายได้ หากโจทก์ถูกจำเลยรบกวนสิทธิเก็บกิน โจทก์ย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลบังคับจำเลย ไม่ให้ขัดขวางการใช้สิทธิเก็บกินของโจทก์ได้อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องถอนคืนการให้ กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษา ยกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.