แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่ง พิพากษาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ฟ้องโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ให้คู่ความฟังแล้วโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่เสียเงินค่าขึ้นศาลและขอนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 30 วัน นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอต่อมาโจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลครบถ้วน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ มีความหมายว่าศาลชั้นต้นยอมรับคำฟ้องของโจทก์แล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแก้คดีก็หาได้โต้แย้งการรับฟ้องของศาลแต่อย่างใดการที่โจทก์แก้ไขข้อขัดข้องด้วยการนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางครบถ้วนแล้วจึงไม่มีเหตุขัดข้องอะไรที่ศาลจะไม่รับคำฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2527 เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้ประจำปี พ.ศ. 2520 เพิ่มจำนวน13,998,603.22 บาท โดยหักค่าใช้จ่ายในการซื้อที่ดินให้เพียง20,000,000 บาท มิได้หักให้จำนวน 30,000,000 บาท ซึ่งเป็นทุนที่โจทก์ซื้อมาจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลโจทก์มีสิทธิหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งได้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์และแจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2528 โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินใหม่โดยหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่โจทก์มีสิทธิหักได้เสียให้ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินที่มีคำขอให้เพิกถอน ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลจำนวนที่ขาดภายใน 7 วัน โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยโจทก์ยืนยันว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับพร้อมกับสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลที่โจทก์เสียไว้ให้โจทก์ทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
วันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังวันที่ 10 มีนาคม 2530 โดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังแล้ว ต่อมาวันที่8 กรกฎาคม 2530 โจทก์ยื่นคำร้องขอวางเงินค่าขึ้นศาลภายใน 30 วันนับแต่ศาลมีคำสั่ง ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 ว่า “อนุญาตให้โจทก์นำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันนี้” โจทก์ได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2530 ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริง การหักค่าใช้จ่ายให้โจทก์ตามความจำเป็นและสมควรตามประมวลรัษฎากรมาตรา 45 ประกอบพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 11 มาตรา 8 ทวิ ซึ่งหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา 68 ทวิ และ 68 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันนัดสืบพยานโจทก์ว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับคำฟ้องและอนุญาตให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระใน 30 วัน กับยกคำร้องที่โจทก์ขอชำระค่าขึ้นศาลใน 30 วันเสีย คืนค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่เสียเงินค่าขึ้นศาลเพียงแต่โจทก์เห็นว่าเป็นคดีที่ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เท่านั้นโจทก์จะขอนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 30 วันนับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอและต่อมาโจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลครบถ้วน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์มีความหมายว่าศาลชั้นต้นยอมรับคำฟ้องในคดีนี้ของโจทก์แล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแก้คดี จำเลยก็หาได้โต้แย้งการรับฟ้องของศาลแต่อย่างใด จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อมาตามระเบียบไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่อย่างใด เพราะคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีสาระสำคัญในการให้ความเห็นชอบกับศาลชั้นต้นว่าคดีของโจทก์ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มากกว่าที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ เมื่อโจทก์ได้แก้ไขข้อขัดข้องโดยนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางครบถ้วนแล้ว ก็ไม่มีเหตุขัดข้องอะไรอีกที่ศาลจะไม่รับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้จึงชอบแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิจารณาและพิพากษาไปตามประเด็นแห่งคดีครั้นศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะพิจารณาพิพากษาต่อไป ก็ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลย ซึ่งพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โต้แย้งกันระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวจะต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่ายจึงไม่ชอบ
พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาเริ่มจากการสืบพยานของโจทก์และจำเลยแล้วทำการพิพากษาไปใหม่ตามรูปคดี.