คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ภริยาของจำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกบ้านพิพาทให้ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของจำเลยทั้งสองภายหลังจากที่จำเลยทั้งสองนำบ้านพิพาทไปประกันเงินกู้ให้โจทก์ ระยะเวลาห่างกันประมาณเดือนเศษ หลังจากโอนบ้านพิพาทให้ผู้ร้องแล้ว จำเลยที่ 2 ยังคงอยู่ตามเดิมพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 2 จดทะเบียนยกบ้านให้ผู้ร้องเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดีเท่านั้น เมื่อปรากฎว่านอกจากบ้านพิพาทแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์อย่างอื่นอีก การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 เสียเปรียบ อันเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนรายนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 คดีนี้เป็นการพิจารณาชั้นบังคับคดีเจตนารมณ์ของการบังคับคดียอมให้ว่ากล่าวเรื่องดังกล่าวได้ภายหลังการยึดทรัพย์แล้วศาลจึงมีอำนาจชี้ขาดตามความในบทบัญญัติมาตราดังกล่าวได้โดยมิพักต้องให้โจทก์ไปดำเนินการฟ้องร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อน การที่โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารสัญญากู้ระหว่างจำเลยทั้งสองกับโจทก์ให้ผู้ร้องก่อนวันสืบพยาน 3 วัน เป็นเพราะผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยทั้งสอง และเป็นผู้รับโอนบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 2โจทก์จึงเข้าใจว่าผู้ร้องคงทราบเรื่องที่จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ตามฟ้องแล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ร้อง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี สมควรรับฟังสัญญากู้ดังกล่าว การรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) จึงชอบแล้ว.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 75,000 บาทแต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 74 หมู่ 2 ตำบลไผ่ขวาง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ของจำเลยทั้งสอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า บ้านที่โจทก์นำนึด เป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยทั้งสอง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า เดิมบ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลยที่ 2 แต่โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนยกบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยเสน่หาและเป็นการสมคบกันโกงโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ทำให้โจทก์เสียเปรียบ จึงเป็นการกระทำที่มิชอบ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าผู้ร้องเป็นบุตรจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์จำนวน150,000 บาท เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2527 และตกลงนำบ้านเลขที่ 74และทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสองมีอยู่ทั้งหมดให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันวันที่ 4 กันยายน 2527 จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมยกบ้านให้ผู้ร้องหลังจากที่มีการยกบ้านให้ผู้ร้องแล้วผู้ร้องไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวเป็นประจำ แต่ไป ๆ มา ๆจำเลยที่ 2 ยังได้ต่อเติมโดยปลูกนอกชานเพิ่มเติมด้วย มีปัญหาตามที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้เป็นจำเลยร่วมกับจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่ได้ฟ้องผู้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนบ้านพิพาท ผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าของบ้านพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จะยึดบ้านของผู้ร้องเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาไม่ได้นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2จดทะเบียนยกบ้านพิพาทให้ผู้ร้องภายหลังจากที่จำเลยทั้งสองนำบ้านพิพาทไปเป็นประกันเงินกู้ให้โจทก์ ระยะเวลาห่างกันประมาณเดือนเศษ หลังจากโอนบ้านพิพาทให้ผู้ร้องแล้ว จำเลยที่ 2 ยังคงอยู่ตามเดิม พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 2 จดทะเบียนยกบ้านให้ผู้ร้องเพื่อหลีกเลี่ยง การบังคับ คดีเท่านั้น เมื่อปรากฏว่านอกจากบ้านพิพาทแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์อย่างอื่นอีกการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 เสียเปรียบ อันเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนรายนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 คดีนี้เป็นการพิจารณาชั้นบังคับคดีเจตนารมน์ ของ การบังคับคดียอมให้ว่ากล่าวเรื่องดังกล่าวได้ภายหลังการยึดทรัพย์แล้ว ศาลจึงมีอำนาจชี้ขาดตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ได้ โดยมิพักต้องให้โจทก์ไปดำเนินการฟ้องร้องขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อนส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่า โจทก์ไม่ส่งสำนวนสัญญากู้ให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยาน 3 วัน จึงต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 นั้น เห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลลงวันที่ 15 มีนาคม 2532 ทนายผู้ร้องแถลงว่าเอกสารหมาย จ.1 โจทก์มิได้ส่งสำเนาให้ถูกต้อง ทนายโจทก์แถลงรับว่ามิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้ผู้ร้องจริง เพราะเข้าใจว่าได้แนบไปรับสำเนาคำฟ้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งสำเนาอีก ดังนั้นการที่โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.1 คือสัญญากู้ระหว่างจำเลยทั้งสองกับโจทก์นั้น ก็เพราะผู้ร้องมีความสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสองโดยเป็นบุตรของจำเลยทั้งสองและเป็นผู้รับโอนบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 2 โจทก์จึงเข้าใจว่าผู้ร้องคงทราบเรื่องที่จำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ตามฟ้องแล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ร้องแต่ประการใด เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีสมควรรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวอันเป็นอำนาจตามมาตรา 87(2)จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share