แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทราบว่าถูกฟ้องเมื่อมีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลย จึงต้องถือว่ามีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยแล้ว หากจำเลยประสงค์จะให้ศาลพิจารณาใหม่จะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่3 มิถุนายน 2541 ล่วงพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ในกรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องแสดงให้เห็นว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวจำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ผู้เช่าซื้อได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ก็ดี และผู้เช่าซื้อได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วก็ดี หาใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน452,000 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 540,000 บาท กับอีกเดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนและชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 992,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 290,000 บาทและให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าเสียหายหลังวันฟ้องเดือนละ5,000 บาทจนกว่าจะคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาแทนแต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน
ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 11 และ 10 ตุลาคม 2539 ตามลำดับ แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2541 ว่า จำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 91 ถนนพลับพลาไชย แขวงป้อมปราบเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ไม่ได้อยู่ที่บ้านเลขที่ 131/46 ซอยพหลโยธิน 24 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ตามภูมิลำเนาที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 2 ทราบว่าถูกฟ้องเมื่อเดือนตุลาคม 2539 ภายหลังจากมีคำพิพากษาแล้ว และจำเลยที่ 2 ตรวจสอบพบว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2532 ก่อนทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์สัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันจึงตกเป็นโมฆะ ถ้าจำเลยที่ 2 ได้ต่อสู้คดีก็จะเป็นฝ่ายชนะคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่พ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันส่งคำบังคับโดยไม่ปรากฏพฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้ให้ยกคำร้องจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ศาลจะต้องรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 2 ไว้หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 พนักงานเดินหมายได้นำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 131/46 โดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาล ต่อมาวันที่ 3มิถุนายน 2541 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2อยู่ที่บ้านเลขที่ 91 แต่โจทก์นำส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง และคำบังคับไปที่บ้านเลขที่ 131/46 ตามแบบรับรองการทะเบียนราษฎรเอกสารท้ายคำแถลงฉบับลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 ของโจทก์ระบุว่าจำเลยที่ 2 อยู่ที่บ้านดังกล่าวซึ่งต้องถือว่าจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านดังกล่าวด้วย จำเลยที่ 2 ทราบว่าถูกฟ้องเมื่อเดือนตุลาคม 2539 ดังนี้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ทราบว่าถูกฟ้องเมื่อมีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 2 นั่นเอง จึงต้องถือว่ามีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว และเมื่อมีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว หากจำเลยที่ 2ประสงค์จะให้ศาลทำการพิจารณาคดีใหม่ จะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง และเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยที่ 2 โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 จำเลยที่ 2 ต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539 แต่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 3 มิถุนายน 2541 ล่วงพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ในกรณีเช่นนี้จำเลยที่ 2 จะต้องแสดงให้เห็นว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 2 อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ที่ว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ก็ดี และจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วก็ดี หาใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน