คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 5 วัน ปรับ 200บาทโทษจำคุกเปลี่ยนเป็นกักขัง จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1ปี โดยไม่ลงโทษกักขังแทนจำคุกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เป็นการกำหนดโทษจำคุกโดยมีเงื่อนไขให้เป็นคุณแก่จำเลย เพื่อให้จำเลยไม่ต้องรับโทษกักขังไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ฎีกาโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 (ปัญหาข้อแรกตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพ ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2516 จำเลยร่วมกับพวกเล่นการพนันไฮโลว์ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตรอกวัดสร้อยทอง เขตดุสิต กรุงเทพฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน รับลดกึ่งแล้วลงโทษจำคุก 5 วัน ปรับ 200 บาท โทษจำคุกเปลี่ยนเป็นกักขังแทน

จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษในส่วนที่เกี่ยวกับโทษกักขังซึ่งเปลี่ยนมาจากโทษจำคุก

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเข้าเล่นเป็นลูกค้าซึ่งไม่ใช่การพนันรายใหญ่ ทั้งจำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน สมควรให้โอกาสแก่จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี พิพากษาแก้ ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 โดยไม่ลงโทษกักขังแทนโทษจำคุกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย

ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกเพื่อรอการลงโทษแก่จำเลยก็เป็นการกำหนดโทษจำคุกโดยมีเงื่อนไขให้เป็นคุณแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยไม่ต้องรับโทษกักขัง ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจได้โดยชอบ ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษอันต้องห้ามตามมาตรา 212

เมื่อมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติฝ่าฝืนวิธีพิจารณาแล้ว ต้องถือว่าฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ไม่ได้

พิพากษายืน

Share