คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินทั้งแปลง ได้แบ่งขายให้โจทก์บางส่วนโดยยังมิได้มีการแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนแน่นอน และแม้จำเลยที่ 1 จะได้ยกที่ดินอีกบางส่วนให้จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ไปยื่นขอออก น.ส.3 ก. แล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนเช่นกัน การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินดังกล่าว นอกจากจะเป็นการครอบครองแทนโจทก์แล้ว ก็ยังเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของตนเองด้วย แม้จำเลยที่ 1 จะได้เช่าที่ดินในส่วนของโจทก์และสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ก็ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่ามาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ได้ และเมื่อจำเลยที่ 2 อยู่ในที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2เช่นกัน ศาลยกฟ้องของโจทก์ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีอยู่จริงหรือไม่เพียงใด จึงสมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครองครอบที่ดิน 30 ไร่ได้ขายให้โจทก์โดยสละการครอบครองและส่งมอบการครอบครองให้โจทก์แล้วนับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย ในวันเดียวกันนั้น จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์มีกำหนด 1 ปี กำหนด 1 ปี โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรได้เข้าทำประโยชน์เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองคงเช่าต่อโดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อมาจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้สิทธิไม่สุจริต โดยจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ได้คัดค้านและไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 เช่าต่อไปจึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว และร่วมกันใช้ค่าเสียหายรายเดือนแก่โจทก์จนกว่าจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้สละสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่เคยขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์และไม่เคยทำสัญญาเช่าที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ครอบครองที่ดินมากกว่า 14 ปีแล้ว และได้ไปยื่นขอออก น.ส.3 ก.เอง โดยจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นด้วย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินแปลงที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองมีเนื้อที่ 67 ไร่ เดิมเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทเพียง 30 ไร่ในจำนวน 67 ไร่นี้ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ คือจำเลยที่ 1 ครอบครองแทนโจทก์โดยจำเลยที่ 1 แบ่งขายที่ดินจำนวน30 ไร่ ให้แก่โจทก์ และเช่าที่ดินของโจทก์จำนวน 30 ไร่ นั้นทำไร่ดังนั้น แม้จะฟังว่าเป็นความจริงดังที่โจทก์นำสืบ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ก็เป็นเจ้าของที่ดิน 67 ไร่ ร่วมกันเพราะได้ความจากคำเบิกความของโจทก์เองว่ายังมิได้มีการแบ่งแยกที่ดินพิพาท 30 ไร่ออกมาเป็นสัดส่วนแน่นอน และแม้จำเลยที่ 1 จะยกที่ดินจำนวน 34 ไร่ให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ไปยื่นคำขอออก น.ส. 3 ก. แล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนเช่นกัน การครอบครองของจำเลยที่ 1 นอกจากจะครอบครองแทนโจทก์แล้วยังเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของตนเองด้วยอีกสถานหนึ่งพร้อม ๆ กัน ตราบใดที่ยังไม่มีแบ่งแยกการครอบครองที่ดินทั้ง 67 ไร่ ออกเป็นสัดส่วน โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในการที่จะครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินทั้งแปลงการฟ้องขับไล่ในคดีนี้มีผลเท่ากับโจทก์ได้ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินทั้ง 67 ไร่อันเป็นการลบล้างสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแม้จำเลยที่ 1 จะเช่าที่ดินในส่วนของโจทก์ และสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ก็ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่ามาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1ได้ เพราะเป็นการขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินของจำเลยที่ 1 เองด้วย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2ก็ย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้โดยถือว่าอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในประเด็นอื่นอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์นั้นชอบแล้ว
การยกฟ้องโจทก์ในกรณีเช่นนี้เป็นการยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์มีอยู่จริงหรือไม่เพียงใด จึงสมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3)
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในอายุความ.

Share