คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามข้อตกลงในสัญญาใบรับสินค้าเชื่อ (Trust receipt) ซึ่งโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการขายสินค้าและนำเงินมาชำระให้โจทก์ตามที่กำหนดกันไว้ สัญญาเช่นนี้เป็นการเรียกเงินค่าขายของ มิใช่เป็นการเรียกเงินที่โจทก์ออกทดรองไป อายุความฟ้องร้องจึงมีกำหนด 10 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ ๒ ฉบับให้โจทก์ว่า ตามที่โจทก์ได้มอบเอกสารการขนส่งสินค้าให้จำเลย ๆ จะนำไปขอรับสินค้าออกในฐานะตัวแทนของโจทก์ไปจำหน่ายนโดยให้ถือว่ากรรมสิทธิ์ในสินค้าเป็นของโจทก์ เพื่อเป็นหลักประกันว่าจำเลยจะต้องนำค่าราคาสินค้า ค่าธรรมเนียม ที่จำเลยขอให้โจทก์เป็นผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตสั่งซื้อและให้โจทก์ออกเงินแทนจำเลยแต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๕๘,๒๑๓ บาท ๒๖ สตางค์ กับดอกเบี้ย ๕ ปีแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามใบรับสินค้าเชื่อ (Trust receipt) เพราะโจทก์ได้บรรยายเรื่องใบรับสินค้าเชื่อมาโดยตลอด ไม่ใช่ฟ้องเรียกเงินทดรองที่จ่ายแทนจำเลย โดยโจทก์ให้ตัวแทนเป็นผู้ซื้อสินค้า และส่งมาในนามของโจทก์ กรรมสิทธิ์ในสินค้าเป็นของโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ควบคุมราคาสินค้าที่จะขายว่าต้องขายในราคาเท่าใด จำเลยจะนำไปขายได้กำไรหรือขาดทุนเป็นสิทธิและอำนาจของจำเลยทั้งสิ้นนั้น เห็นว่า เพียงเท่านี้หาเป็นเหตุให้กรรมสิทธิ์ในสินค้าของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปไม่ เพราะโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยไปจัดการขายตามที่เห็นสมควร แต่จำเลยจะต้องนำมาชำระให้โจทก์ตามที่โจทก์จำเลยได้กำหนดไว้ สัญญาเช่นนี้มีผลผูกพันคู่กรณีตามกฎหมาย และไม่เรียกว่าเป็นการเรียกเงินที่โจทก์ออกทดรองไปหากเป็นการเรียกเงินค่าขายของตามใบรับสินค้าเชื่อและจากตัวแทน อายุความฟ้องร้องจึงมีกำหนด ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ไม่ใช่มาตรา ๑๖๕ (๑) ดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย

Share