แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การขออนุญาตนำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะที่ได้นำสัญญากู้ยืมเงินนั้นมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นชี้ขาดตัดสินคดี เมื่อโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปเสียอากรและเงินเพิ่มหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วย่อมถือไม่ได้ว่ามีการปิดแสตมป์บริบูรณ์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ เป็นผลให้คดีโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและมิได้สาบานตนให้การเป็นพยานปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ก็จะถือว่าจำเลยไม่ติดใจคัดค้านหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องและฟังว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือแล้วโดยไม่ต้องอาศัยฟังจากเอกสารหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยรวม 27,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยชั่งละหนึ่งบาทต่อเดือน (ร้อยละ15 ต่อปี) ในต้นเงิน 22,600 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ปิดอากรแสตมป์ แต่ไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ ถือว่าสัญญากู้ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์สัญญากู้ดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 พิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ขออนุญาตนำหนังสือสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ไปเสียอากรและเงินเพิ่ม ศาลชั้นต้นอนุญาตโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118โจทก์จะต้องขออนุญาตนำสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาจึงจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้เมื่อโจทก์เพิ่งดำเนินการนำสัญญากู้นั้นไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วย่อมไม่มีเหตุผลที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตดังนั้นจึงใช้เป็นพยานหลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ได้ พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การที่โจทก์อนุญาตต่อศาลชั้นต้นนำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ไปเสียอากรและเงินเพิ่ม เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วปรากฏตามสำเนาแบบขอและอนุมัติให้เสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินใบเสร็จรับเงินและเจ้าหนี้ที่ได้สลักหลังไว้ในหนังสือสัญญากู้แล้วอันจะถือว่าโจทก์ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 117 เป็นผลให้ศาลจำต้องรับฟังหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หรือไม่ประมวลรัษฎากร มาตรา 117 บัญญัติว่า “ตราสารหรือหลักฐานตามความในมาตรา 116 ที่มีผู้เสียอากรหรือเสียอากรและเงินเพิ่มอากรถ้ามีตามความใน มาตรา 113 หรือมาตรา 114 แล้วให้ถือว่าเป็นตราสารที่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ส่วนเงินเพิ่มอากรที่เรียกเก็บให้ถือเป็นเงินอากร” เห็นว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การขออนุญาตนำตราสารไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะที่ได้นำตราสารนั้นมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นจะตัดสินชี้ขาด คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ไปเสียอากรและเงินเพิ่มภายหลังที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว ดังนั้นจึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 อันเป็นผลให้คดีโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่จะรับฟังว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ดังฟ้อง โจทก์จะมีเจตนาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่หาถือเป็นข้อสาระสำคัญไม่ถ้ามิได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์อันเป็นการบกพร่องในเรื่องปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว ศาลจะรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ และการที่จำเลยมิได้ขาดนัดพิจารณาแต่จำเลยไม่สาบานตนให้การเป็นพยานปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ จะถือว่าจำเลยไม่ติดใจคัดค้านหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องโดยฟังว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือแล้วโดยไม่ต้องอาศัยฟังจากเอกสารดังที่โจทก์ฎีกานั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน