แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า คดีในส่วนจำเลยที่ 2 มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 7 (2) เป็นกรณีที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยในปัญหาว่า คดีในส่วนจำเลยที่ 2 อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรกลางหรือศาลยุติธรรมอื่น ซึ่งตามมาตรา 10 วรรคสอง (เดิม) กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัย ศาลภาษีอากรกลางหามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ประกอบกับคู่ความไม่ได้โต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลไว้ จึงไม่มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเรื่องเขตอำนาจศาล ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และพิพากษายกฟ้องมานั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เจ้าพนักงานของโจทก์มีหนังสือไปยังกรรมการจำเลยที่ 1 เพื่อให้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบมาชำระแก่จำเลยที่ 1 ให้ครบถ้วน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามสิทธิเรียกร้องของตนเป็นเหตุให้โจทก์เสียประโยชน์ หนี้ค่าภาษีอากรที่โจทก์มีต่อจำเลยที่ 1 เป็นหนี้มีบุริมสิทธิ กรณีต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 233 และมาตรา 235 โจทก์ชอบจะใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 2 ได้ แต่การที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 อันมีต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งยังส่งใช้เงินค่าหุ้นไม่ครบถ้วนพร้อมดอกเบี้ย แม้โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ในนามของตนเองตามมาตรา 233 ก็เป็นการใช้สิทธิแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ส่งใช้เงินค่าหุ้นที่ยังไม่ครบพร้อมดอกเบี้ย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าภาษีอากรและเงินเพิ่มที่ค้างชำระ 8,387,597.17 บาท และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ค้างชำระตาม บช. 35 จากต้นเงิน 2,053,924.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ส่งใช้เงินค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบพร้อมดอกเบี้ย 3,128,125 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของมูลค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบ 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าภาษีอากรและเงินเพิ่มที่ต้องชำระตามฟ้อง 8,387,597.17 บาท แก่โจทก์กับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ค้างชำระตาม บช.35 เลขที่ 02019270-25551128-005-00327 จากต้นเงินภาษีจำนวน 18,271.91 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00328 จากต้นเงินภาษีจำนวน 64,747.42 บาท เลขที่ 0209270-2551128-005-00329 จากต้นเงินภาษีจำนวน 108,684.29 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00330 จากต้นเงินภาษีจำนวน 663,576.17 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00331 จากต้นเงินภาษีจำนวน 46,029.49 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00332 จากต้นเงินภาษีจำนวน 81,802.09 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00333 จากต้นเงินภาษีจำนวน 284,049.36 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00334 จากต้นเงินภาษีจำนวน 143,040.95 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00335 จากต้นเงินจำนวน 159,351.98 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00336 จากต้นเงินภาษีจำนวน 55,541.23 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00337 จากต้นเงินภาษีจำนวน 76,337.24 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00338 จากต้นเงินภาษีจำนวน 140,440.43 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00339 จากต้นเงินภาษีจำนวน 109,363.17 บาท เลขที่ 02019270-25551128-005-00340 จากต้นเงินภาษีจำนวน 102,678.87 บาท โดยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่เงินเพิ่มดังกล่าวต้องไม่เกินภาษีที่ต้องชำระ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางว่า จำเลยที่ 1 ค้างชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแก่โจทก์หลายเดือนภาษี รวมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเป็นเงิน 8,380,000.40 บาท จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 98,000 บาท คงค้างชำระอยู่ 8,210,000.40 บาท เจ้าพนักงานของโจทก์ได้เร่งรัดให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ ต่อมาเจ้าพนักงานของโจทก์ได้อายัดเงินฝากของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้บางส่วนเป็นเงิน 830,000 บาท คงเหลือค่าภาษีอากร เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับค้างชำระ 7,331,896.93 บาท จำเลยที่ 1 มีทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 500,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท มีจำเลยที่ 2 กับบุคคลอื่นอีกหกคนเป็นผู้ถือหุ้น โดยจำเลยที่ 2 ถือหุ้น 489,950 หุ้น มูลค่า 4,899,500 บาท จำเลยที่ 2 ชำระค่าหุ้นแล้ว 1,899,500 บาท คงค้างชำระค่าหุ้น 3,000,000 บาท ส่วนหุ้นที่เหลือ 10,050 หุ้น ที่บุคคลอื่นถือไว้นั้น ได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มในอัตรา 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน แต่เงินเพิ่มต้องไม่เกินภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องแทนจำเลยที่ 1 โดยเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ส่งใช้ค่าหุ้นที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 128,125 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ย 3,128,125 บาท ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง และพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลภาษีอากรกลาง
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 โดยอ้างการใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าหุ้นค้างชำระแก่จำเลยที่ 1 ไปชำระแก่โจทก์นั้น ถือเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกเก็บเงินค่าหุ้นที่จำเลยที่ 2 ค้างชำระแล้วนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้ค่าภาษีอากรที่ค้างแก่โจทก์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น ปัญหานี้ตามมาตรา 10 วรรคสอง (เดิม) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 บัญญัติว่า “ในกรณีมีปัญหาว่าคดีใดจะอยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากรหรือศาลยุติธรรมอื่น ไม่ว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในศาลภาษีอากรหรือศาลยุติธรรมอื่น ให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาให้เป็นที่สุด” ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า คดีในส่วนจำเลยที่ 2 มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 เป็นกรณีที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยในปัญหาว่า คดีในส่วนจำเลยที่ 2 อยู่ในอำนาจศาลภาษีอากรกลางหรือศาลยุติธรรมอื่น ซึ่งตามมาตรา 10 วรรคสอง (เดิม) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 กำหนดให้ประธานศาลฎีกาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้วินิจฉัย ศาลภาษีอากรกลางหามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไม่ ประกอบกับคู่ความไม่ได้โต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาลไว้ จึงไม่มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเรื่องเขตอำนาจศาล ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และพิพากษายกฟ้องมานั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อสำนวนขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร โดยโจทก์สืบพยานในประเด็นของจำเลยที่ 2 จนเสร็จแล้ว เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า จึงเห็นควรวินิจฉัยประเด็นความรับผิดของจำเลยที่ 2 ตามฟ้องโจทก์ต่อไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยเสียก่อน
สำหรับปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ต้องส่งใช้เงินค่าหุ้นที่ยังไม่ได้ส่งใช้ครบพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1119 มาตรา 1120 และมาตรา 1121 เมื่อจำเลยที่ 2 ถือหุ้นบริษัทจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 จำต้องใช้เป็นเงินค่าหุ้นจนเต็มค่า และบรรดาเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระนั้นกรรมการจะเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้เสียเมื่อใดก็ได้ซึ่งผู้ถือหุ้นทุกคนจะต้องใช้เงินตามจำนวนที่เรียกนั้น เจ้าพนักงานของโจทก์มีหนังสือไปยังกรรมการจำเลยที่ 1 เพื่อให้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าหุ้นที่ยังส่งใช้ไม่ครบมาชำระแก่จำเลยที่ 1 ให้ครบถ้วน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามสิทธิเรียกร้องของตน เป็นเหตุให้โจทก์เสียประโยชน์ หนี้ค่าภาษีอากรที่โจทก์มีต่อจำเลยที่ 1 เป็นหนี้มีบุริมสิทธิ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 และมาตรา 235 โจทก์ชอบจะใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 2 ได้ แต่การที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 อันมีต่อจำเลยที่ 2 ซึ่งยังส่งใช้เงินค่าหุ้นไม่ครบถ้วนพร้อมดอกเบี้ยนั้น แม้โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ในนามของตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 ก็เป็นการใช้สิทธิแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ส่งใช้เงินค่าหุ้นที่ยังไม่ครบพร้อมดอกเบี้ย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ส่งใช้ค่าหุ้นที่ยังไม่ครบพร้อมดอกเบี้ย 3,128,125 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของมูลค่าหุ้นที่ส่งใช้ไม่ครบ 3,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 ตุลาคม 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ